Saturday, December 20, 2008

วันนึง ของเดินธันวา ..

ไม่ได้ blog มานาน มากแล้ว..
บางอย่างที่หายไปมันทำให้อีกหลายๆ อย่างหายไปด้วย ..
และบางอย่างที่เปลี่ยนไป มันก็ส่งผลให้อีกหลายๆ อย่างเปลี่ยนไปเช่นกัน ..
เป็นไปไม่ได้ที่เราจะดำรงอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ..
เราควรสนุกกับมัน? ยอมรับกับมัน? หรือไม่สนใจมัน กันแน่นะ ..
ถ้าเราสนุกกับการเปลี่ยนแปลง เราอาจจะเป็นพวกหลักลอย ไร้สาระ
ถ้าเรายอมรับมัน เราคงเป็นพวก ใจเสาะ ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ไม่มีความพยายาม ..
ถ้าเราไม่สนใจ เราจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงมั๊ยนะ?
เรื่องบางอย่าง มันก็ผ่านเข้ามาเพียงเพื่อให้เกิดการเรียนรู้เท่านั้น ..
แต่ทำไมเรื่องบางอย่าง เราลืมมันไม่ได้เสียทีนะ ..
ธรรมชาติสร้างสมองให้เราจดจำเรื่องราวต่างๆ มากมาย
แต่ธรรมาชาตกลับไม่สร้างกลไก ให้เราเลือกได้
ที่จะลืมอะไรบางอย่าง
แปลกดี ทำไมหลายๆ คนต้องพยายามลืมเรื่องบางอย่างนะ
ในเมื่อความเป็นจริง ถ้ามันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว
มันแทบไม่มีผลกับเราแม้แต่น้อย ..
มันก็แค่เป็นเรื่อง ทีเราเคยผ่านมันมา ก็เท่านั้นเอง จริงๆ ..

Thursday, November 13, 2008

สิ่งที่อยู่นอกใจ

สิ่งที่อยู่นอกใจ
ศิลปิน: อพาร์ตเมนต์คุญป้า

นางนวลหนึ่งตัว ท่ามกลางความหวาดกลัว
ที่ตัวมันได้สร้างเอาไว้...
บินข้ามคลื่นลม บินข้ามเมฆฝนพายุใหญ่
ชายชราหนึ่งคน นั่งดื่มกับความสับสน
ที่ประสบการณ์ได้สร้างเอาไว้...
เขาอินไปกับเพลง เมามายให้ตัวเองหายไป ...

คนเราที่แท้มีความต่าง ทุกชิวิตจึงดูน่าสนใจ
และในความใกล้ชิดมีความห่าง ระยะทางที่เราสร้างเอาไว้
เพื่อให้เราได้ลืม ว่าเราเป็นใคร ..

กุหลาบอยู่ในสวน ทามกลางหมู่มวลแมลง ที่ล้อมมันไว้
หากคนว่าไม่งาม แล้วมันยังต้องการน้ำหรือไม่..
เช่นฉันกับบทเพลง เรื่องราวของฉันเอง
ไม่เกี่ยวกับผู้คนอื่นไหน
มันเป็นแค่เพลง
สะท้อนความวังเวงไม่ได้ยิ่งใหญ่

คนเราที่แท้มีความต่าง ชิวิตจึงดูน่าสนใจ
และในความใกล้ชิดมาความห่าง ระยะทางที่เราสร้างเอาไว้
เพื่อให้เราได้ลืม ว่าเราเป็นใคร ..

เพราะว่าเรา มักมองแต่สิ่งที่อยู่นอกใจ ...

Sunday, October 19, 2008

ฉันสินะ

อาทิตย์สองอาทิตย์มานี่ ฉันเฝ้าติดตามพฤติกรรมของพระจันทร์อย่างต่อเนื่อง
ทุกครั้งที่แหงนมอง ฉันคิดเสมอว่าพระจันทร์วันนี้มันสวยดิแฮะ
แปลกดีที่ฉันคิดอยู่อย่างเดียว ทุกครั้งที่แหงนมองมัน
"พระจันทร์วันนี้มันสวยดีแฮะ"
หลังจากผ่านพ้นช่วงพระจันทร์สวยไป
ฉันก็ได้ทราบข่าวว่ามีนักท่องเที่ยว ไปแห่ดูบั้งไฟพญานาค
อ้อ ช่วงที่ผ่านมันมันเป็นวันเพ็ญ เดือน 11
ที่พระจันทร์สวยอยู่อย่างนั้น ก็เพราะมันเป็นวันเพ็ญ
วันที่พระจันทร์เต็มดวง ก็ต้องเป็นวันเพ็ญสินะ
ฉันยังคงปล่อยให้จิตใจล่องลอย ชื่นชมกับความสวยงาม
โดยไม่มีเหตุผลที่ต้องค้นหา ว่าทำไมนะ พระจันทร์มันดูสวยจัง
ฉันเคยโดนตำหนิมามากเกี่ยวกับเรื่องของเหตุผล
เคยโดนถามว่าทำไมต้องเที่ยวหาเหตุผลมาประกอบ
ให้กับทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลให้กับเรื่องของตัวเอง
หรือหาเหตุผลให้เรื่องของคนอื่น ทำไมเหตุผลมากมายเสียจริง
จริงๆ แล้ว ในบางครั้ง ฉันก็ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
บางครั้งฉันอยากรู้คำตอบต่อเรื่องต่างๆ มากมาย
วันนึงเมื่อมีคำตอบของคำถาม
ฉันกลับไม่เคยคิดว่าจะถามต่อว่า "ทำไม"
ฉันเลือกที่จะปล่อยให้มันผ่านไป นั่นคือฉันสินะ
เปรียบเหมือนฉันป่วยใกล้ตาย ถ้าหมอยังไม่มาบอกว่าฉันจะตาย
ฉันก็ไม่เคยคิดว่าต้องตายหรอก
แต่ทันที่ที่หมอมาบอกว่า "คุณกำลังจะตาย"
ฉันไม่สนใจด้วยซ้ำที่จะถามว่า "ผมจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่"
บางครั้งก็หัวรั้นจนน่ารำคาญ
บางครั้งก็เฉยเมยจนน่ารำคาญ
ฉันสินะ ..

Thursday, August 21, 2008

หรือ เพียงเพราะใครบางคน?

เคยถามตัวเองไหม ว่าชอบอะไร ชอบกินอะไร ชอบเที่ยวแบบไหน มันอาจจะดูพื้นๆ ทั่วๆ ไป แต่สำหรับผมแล้ว ผมกลับไม่เคยตอบคำถามพวกนี้ได้เลยแฮะ พอลองนึกย้อนไปแล้วก็ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เราเองกลับค้นหาไม่เคยเจอคือตัวเอง ไม่เคยพิจารณาความรู้สึกของตัวเอง ชอบเหลือเกินการเอาชิวิต ความรู้สึก ไปผูกไว้กับคนอื่น ชอบอย่างที่เค้าชอบ เป็นอย่างที่คิดว่าเค้าอยากให้เป็น ทำอะไรหลายๆ อยากที่เค้าอยากให้ทำ (แต่เรื่องบางอย่างให้ตายเหอะหว่ะ มันทำไม่ได้จริงๆ เลย โดยเฉพาะเรื่องของนิสัยใจคอเนี๊ย) จริงๆ แล้ว เราเป็นตัวเองได้มั๊ยนะ สมมุติว่าเรารู้นะว่าตัวเราเป็นยังไงชอบอะไร เคยบอกใครๆ ว่าชิวิตผมไม่เคยมีอะไรที่ชอบ มีแต่เฉยๆ กับรู้สึกไม่ดีกับมัน โดยเฉพาะอาหาร มีแต่ ok กลับไม่ได้เรื่อง สัมผัสได้แต่สิ่งที่ไม่ดีหรือไงเนี๊ย? หลายๆ อย่างผมก็ติดมาจากใครบางคน คือมีใครบางชักนำให้ให้ไปเจอ แล้วมันก็รู้สึกดี อย่างไอ้การมานั่งเขียนอะไรเรื่อยเปลื่อยแบบนี้ก็เหมือนกัน ครั้งนึกเคยไปแอบชอบนักเขียนเข้า มันก็ทำให้ผมลองเขียนๆ อะไรเรื่อยเปลื่อย วันนึงมันก็ติด และรู้สึกว่ามันก็ดีเหมือนกันแฮะ ครั้งนึงผมไม่ชอบการเดินห้าง เดินตลาดนัด พอมีคนชักนำให้ผมไปเดินบ่อยๆ เข้า เออ มันก็ดีเหมือนกันแฮะ อย่างน้อยก็ได้เจอสาวๆ บ้าง :P 55 แต่ไอ้เขียนโปรแกรมนี่ไม่ใช่นะ ผมเขียนมานานแล้ว

-- นานมาแล้วได้คุยกับน้องคนนึง
ผม: ทุกวันนี้เราถ่ายรูปด้วยนะ ถ่ายมานานแล้ว
น้อง: จริงดิ ไหนให้เราดูหน่อย
ผม: (ส่ง Link ไปให้ดู)
น้อง: พี่ก็ถ่ายรูปสวยดีนะ แต่เราชอบเรื่องที่พี่เขียนมากกว่า ..

อืมม เรื่องที่ผมเขียนมันเป็นยังไงนะ มันคงไม่สนุกเท่าได้มานั่งคุยกันหรอกมั๊ง ว่ามั๊ย?
พักนี้ผมไม่ค่อยได้เขียนอะไรแล้วแหละ ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องจะเขียนหรอก วันๆ มันก็มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้เขียนถึงเสมอแหละ แต่เชื่อมั๊ย ทุกครั้งที่ผมเขียนเสร็จ ผมกลับลบมันทิ้งไป โดยที่ไม่ได้เอามา post ลงที่นี้ด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เพราะ ผมเบื่อ หรือมีปัญหาอะไรกับชิวิตหรอกนะ เพียงแต่พอเขียนมาถึงจุดนึง ผมเริ่มรู้สึกว่า จริงๆ แล้ว มันใช่ผมหรือเปล่านะ ไอ้คนที่มานั่งพรรณนาอะไร เรื่องเปลื่อยแบบนี้ ดูมันขัดกับชิวิตส่วนอื่นของผมค่อยข้างมาก หรือไม่มันก็คือตัวผม ส่วนที่เหลือ มันก็แค่เพราะใครบางคน ทำให้ผมต้องแสดงภาพเหล่านั้นออกมา เท่านั้นเอง ...

Monday, August 04, 2008

เรื่อยเปลื่อย ไปวันๆ

หลายๆคนบอกฉันว่าสิ่งที่เรามีเท่ากันคือเวลา
พอฉันถามว่าเท่ากันยังไง ตายช้าเร็วไม่เท่ากัน
เค้าตอบฉันว่าเท่ากันคือวัน หนึ่งวันเท่าๆ กัน
หนึ่งวันของใครก็เท่ากันทั้งนั้น หรือไม่จริง
ฉันยอมรับในหน่วยตามวิทยาศาสตร์มันเป็นอย่างนั้น
แต่ความเป็นจริง มันไม่เคยเท่ากันหรอก
ในความรู้สึกของแต่ละคน
คนที่รอ เวลามันช่างยาวนาน ..
คนที่รีบ เวลามันช่างรวดเร็ว ..
เวลาหดหู่เศร้าหมอง เวลามันก็เนิ่นนาน ..
แต่เวลามีความสุข เวลามันก็รวดเร็ว ..
หรือไม่จริง ...
เค้าบอกฉันว่ามันไม่เกี่ยวกับเวลาหรอก ..
มันอยู่กับสิ่งที่ฉันจดจ่อ หรือใส่ใจ
เวลามีความสุข เค้าถามฉันว่าฉันเคยมองดูเวลามั๊ย
หรือเคยรู้สึกมั๊ยว่าเวลาแห่งความสุขมันจะหมดเมื่อไหร่
พอเราไม่สนใจอะไรๆ มันก็ผ่านไปเร็ว ไม่เว้นแม้แต่เวลา
แต่พอมีความทุกข์เรากับจดจ่อกับเวลา ว่าเมื่อไหร่มันจะพ้นไป
พอเราจดจ่อ มันก็เนิ่นนาน มันเป็นอย่างนั้น ..
เค้าบอกฉันว่ามันเป็นอย่างนั้น
จริงหรือที่เวลามีความสุขเราจดจ่อกับความสุข
จนลืมเวลา ..
และเวลามีความทุกข์เราจดจ่อกับเวลา
จนลืมไปว่า เวลาของความทุกข์
แท้จริง มันอาจจะหมดไปตั้งนานแล้วก็ได้ ...

Sunday, August 03, 2008

JUNO

วันนี้หยิบหนังแผ่นนี้มาดู เป็นหนังที่อยากดูมาตั้งแต่ตอนมันเข้าโรงแล้ว เรื่องราวของสาวน้อยวัน 16 ที่เผอินตั้งท้อง เธอเลือกที่จะไม่ทำแท้ง และหาครอบครัวที่เธอคิดว่าเหมาะสมมารับเลี้ยงดูเด็กคนนั้น และในช่วงเวลาของการอุ้มท้องนั้งเอง มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ความเป็นจริงของชิวิตคู่ ความเป็นจริงของความรัก ไม่ใช่แค่ฉากหน้าที่ดูเลิศหรู เหมาะสม แต่ความรักจริงๆ คือความเข้าใจในสิ่งที่อีกคนเป็นต่างหาก ความเข้าใจของครอบครัวต่อลูกสาวแสนเปรี้ยวคนนี้เป็นอะไรที่น่ารักมาก เคยได้ยินใครบอกว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วอิ่มเอมใจ ผมเองก็คงรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน คุณรู้มั๊ยไม่ว่าปัญหามันจะยิ่งใหญ่ร้ายแรงแค่ไหน ถ้าใครซักคนเข้าใจเรา และอยู่เคียงข้างเราเสมอ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เราจะก้าวผ่านมันไปได้ ตอนนึงของหนังบอกว่า "การเดินทางสิ่งที่เรานับได้คือระทางที่เราเดินทาง แต่การผ่านพ้นของเวลา สิ่งที่เราได้คือประสบการณ์" เป็นหนังที่ดีเรื่องนึงใรความรู้สึกของผม

"In my opinion, the best thing you can do is find a person who loves you for exactly what you are. Good mood, bad mood, ugly, pretty, handsome, what have you, the right person will still think the sun shines out your ass. That's the kind of person that's worth sticking with." - คำพูดของ Mac Macguff (พ่อของสาวน้อย Juno ในเรื่อง)

Tuesday, July 29, 2008

เรื่องเศร้าๆ มันมีกันทุกคนจริงๆ

คนเราบนใบหน้าเปื่อนยิ้มแค่ไหน ทำให้คนอื่นมีความสุขอย่างไร ในลึกๆ มันก็ยังต้องเคยผ่านความเศร้า ที่ไม่มีวันลืม กันทุกคนจริงๆ เลยแฮะ วันนี้ดูรายการ "คืนนี้ วันนั้น" ทางช่อง 7 แขกรับเชิญคือน้าเน๊ก มาเล่าเรื่องการสูญเสียพ่อ อันเป็นที่รักไป มันหดหู่พิกล อย่างน้อยเราก็รู้ว่าความสุขที่ฉาบหน้า มันยังมีความเศร้า หรือเรื่องเศร้าๆ ที่เก็บไว้ เป็นเรื่องที่เมื่อย้อนนึกย้อนไปถึงเมื่อไหร่ มันก็เศร้าเหมือนเราไปยืนอยู่นะจุดนั้น เสียงทุกเสียง ภาพทุกภาพ บรรยากาศ อารมฌ์มันกลับมาหมด ผมเองก็มีเรื่องแบบนี้หลายๆ เรื่อง เรื่องที่เมื่อย้อนนึกกลับไปทีไร ก็ต้องเสียน้ำตาให้มันทุกครั้ง เรื่องที่ทำให้เราต้องคิดว่า ทำไม เราไม่ทำอย่างโน้น ไม่ทำอย่างนี้ ในตอนที่ยังมีโอกาส ทำไมนะ ทำไมตอนนั้นเราคิดไม่ได้ ทำไมหน่ะ หรือ เพราะเราไม่เคยคิด ว่าเราจะต้องสูญเสียอะไรไปหน่ะสิ และพอมันสูญเสียไปแล้ว เราถึงคิดขึ้นมาได้ว่า หลังจากเราสูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว ชิวิตของเราเอง มันไม่เคยกลับมาปกติได้เหมือนก่อนวันนั้นอีกเลย ...

Wednesday, July 23, 2008

จะไปทำอย่างอื่นได้ยังไงถ้าคุยกับหัวหน้าไม่รู้เรื่อง?

และแล้วก็มาถึงวันที่ผมต้องจดบันทึกการประชุม หลังจากผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา ตอนแรกคิดว่าคงไม่ต้องมีผมอยู่ในเวรนี้ เพราะในที่ประชุมทุกคนก็น่าจะรู้ว่าภาษา eng ผมมันอ่อนแค่ไหน -_-" แต่ด้วยความเสมอภาค ยังไงซะ ก็หนีน่าที่นี้ไม่พ้น ผู้เข้ารวมประชุมประกอบด้วยคนสิงค์โปร 5 คน อินเดีย หนึ่ง แล้วก็ผม ให้ตายเหอะหว่ะ ประชุมมาแต่ละทีก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง นี่ยังต้องมาพยายามฟัง แล้วจดว่าแต่ละคนพูดถึงเรื่องอะไรอีก บาปกรรมโดยแท้ โชคดีที่ได้เพื่อนชาวสิงค์โปรคนนึง พยายามส่ง subtitle มาให้ทาง MSN แล้วก็พี่สาวผมที่นี่มาช่วยฟังและถามด้วย ขอบคุณครับทั้งสองคน เดือนหน้าซี้สิงค์โปรของผมมันก็ไม่ได้ทำงานกับบริษัทนี้แล้ว ส่วนพี่สาวก็คงไม่ได้มาช่วยผมบ่อยๆ แน่ๆ ถึงคราวแล้วที่จะต้องพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเองให้มันใช้งานได้จริงๆ เสียที ทำไมคนอื่นพูดฟังได้ แล้วเราจะทำไม่ได้หล่ะ เราเองไม่ใช่เหรอที่เชื่อว่าในโลกนี้ถ้าใครสักคนทำได้ เราเองก็ต้องทำได้เช่นเดียวกัน ไม่ใช่เดินหน้าหนี หรือหลบเลี่ยง หมดเวลาแล้ว เอ้า Keep Moving Forward....

Tuesday, July 22, 2008

เพียงเพราะไม่ได้ online

หลังจากไม่ได้ online msn มาทั้งวันในช่วงเวลาทำงาน
* เพื่อนโทรมาถาม
- มึงไม่สบายเหรอวะ
+ เปลา ทำไมวะ
- อ้าว แล้วไมไม่ไปทำงาน?
+ กูก็มาทำงานปกติ นี่ก็อยู่ที่ทำงาน
- อ้าวเหรอ กูไม่เห็น online นึกว่าไม่ได้ไปทำงาน
== มันพาลนึกว่าผมไม่มาทำงาน เพราะเหตุผลว่า ไม่เห็น online msn

* น้องที่ office โทรมา
- พี่ online หน่อยผมมีเรื่องจะถาม
+ แล้วเอ็งไม่ถามพี่ทางโทรศัพท์เลยหว่ะ
- เออ จริงด้วยพี่
+ เวร โทรเบอร์โต๊ก็ได้นะ จริงๆ แล้ว -_-"

* กลับถึงบ้าง online
- เห้ย โดดงานเหรอไงวะ (เพื่อนใน M ทัก)
+ เปล่า ทำไมเหรอ
- ก็ไม่เห็น online
+ งานมันนัวเนียวหว่ะ อีกอยาก on มา ก็แทบจะไม่เคยคุยกับใคร
- เออ เหมือนกันหว่ะ
== ผม online แทบทุกวัน มันไม่เคยทัก ไม่ online วันเดียว ได้คุยกับมันเลย :P

ไม่ได้แอนตี๊อะไรหรอกนะ เพียงแต่ไม่ชอบใส่ busy ในชื่อ ทั้งๆ ที่เลือก offline ก็ได้ ก็เท่านั้นเอง

Sunday, July 20, 2008

หนัง super hero

หลังจากตะลอนตามเว็บบอร์ดเมื่อคืน มีโอกาสได้ย่างกรายเข้าไปที่ห้องเฉลิมไทยที่เว็บบอร์ดพันทิพ ปกติไม่ใช่ขาประจำห้องนี้เท่าไหร่ แต่พอดีอยากรู้ว่าตอนนี้กระแสหนังเรื่องไหนมาแรง เผื่อจะได้ไปดูหนังสักหน่อย เพื่อนทำวันหยุดพักผ่อน ให้มันมีสีสรรค์อย่างอื่นนอกจากการนอนทอดกายอยู่ที่บ้านมาบ้าง ประกฏว่ากระแส batman ภาคล่าสุด Dark Night หรือชื่อไทยสุดเก๋ว่า อัศวินแห่งรัตติกาล บางคนถึงขนาดออกปากชมว่าเป็นหนัง super ที่ดีที่สุด โถโปรโมทกันซะขนาดนี้สงสัยต้องไปดูซักหน่อยแล้ว คราวนี้สงสัยต้องดูคนเดียว เพราะไม่รู้จะชวนใคร บางคนอยากชวน แต่เวลาช่วงนี้คงยังไม่เหมาะสมเท่าไหร่ -_-" ออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่ 11 โมงเช้า ด้วยความที่รู้สึกว่ารอบแรกๆ คนมักจะไม่เยอะ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ ผมไปซื้อตัวรอบเวลาที่ได้ดูเร็วที่สุด โรงยังว่าเลย แต่ด้วยความที่ไหนๆ มาถึงโรงหนังแล้ว ผมเลยซื้อตั๋ว 2 ใบ (แต่คนละเรื่องนะครับ สติยังดีอยู่ :P) อีกเรื่องก็คือ HellBoy2 เข้าไปบริเวณโรงหนังก็เที่ยง ออกมาอีกทีก็เกือบๆ จะหกโมงเย็นแล้ว ผมไม่พูดถึงเนื้อหาของหนังดีกว่า พอดีดูเอามัน เลยไม่ได้เก็บสาระอะไรออกมามาก แต่ไม่เสียดายตังทั้งสองเรื่อง ไม่เสียดายเวลาที่มาดู เสียอยู่อย่างเดียว อากาศในโรงหนังมันหนาวมาก แล้วถ้าผมต้องใช้เวลาอยู่ในโรงนานขนาดนี้ คราวหน้าคงต้องติดเสื้อแขนยาวมาด้วย แล้ว

Saturday, July 19, 2008

อะไรที่เราไม่มี เราก็อยากได้ อยากเป็น

ผมเองก็มีเรื่องให้คนอื่นอิจฉาเหมือนกันแฮะ พี่คนนึงที่ office บอกผมหลายครั้งแล้ว เป็นเอ็งนี้มันสบาย จริงๆ เลยหว่ะ อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ จะกลับบ้านตอนไหนก็กลับ เหอะๆ พี่เอ๊ย พี่คนมีครอบครัว มันจะเหมือนผมได้ไงหล่ะ ผมเองก็ยังแอบอิจฉาพี่เหมือนกัน ที่เวลากลับไปแล้วมีใครรออยู่ที่บ้าน มีคนดูละครทีวีเป็นเพื่อนใช้ภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน ผมนี่่สิ ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้อยู่ office ผมแทบไม่ได้ขยับปากพูดกับใครเลยจริงๆ ไม่คุย msn ก็มานั่ง blog อยู่อย่างนี้แหละ ดูละคร ดูหนัง แล้วนั่งหัวเราะคนเดียว มันก็ไม่สนุกเท่าไหร่หรอกนะครับพี่ชาย 55 คนเรานี่ก็แปลก อยากได้อยากเป็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่มี หรือที่เราๆ มันไม่มีความสุขอยากที่ควรจะเป็นเพราะเราเอาแต่ไขว้ขว้าหาสิ่งที่เราไม่มี แต่ไอ้สิ่งที่เรามี มันคงดีบ้างแหละน่า ไม่งั้นคงไม่มีคนมาอิจฉาหรอก พี่ว่าจริงมั๊ยหล่ะ ..

Wednesday, July 16, 2008

พิซซ่าหน้าพริกป่น

วันนี้เดินทางออกจาก office ตั้งแต่ยังไม่ถึงทุ่ม เดินไปถึง central ก็ทุ่มกว่าๆ ไปแวะดูท่ารถตู้ คนรอแน่นเอี๊ยดทะลักออกมานอกเพลิงอันจิ๋ว (ยามปกติมันก็กว้างอยู่หรอก แต่สภาวะครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้ มันดูคับแคบพิกล) เลยเปลี่ยนใจไปแวะจ่ายค่าโทรศัพท์และอินเตอร์เนตที่ทรูช๊อปก่อนดีกว่า ไหนๆ ก็อยู่ใกล้ central แล้วฝนก็ทำท่าจะตกอีก เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสอง สังเกตุดูร้านพิซซ่าแล้วก็อดขำไม่ได้ จำได้ว่าครั้งนึงมาแวะกินพิซซ่าที่นี่ กับเพื่อน ผมเองคงเป็นคนประหลาดจำพวกนึง ไม่ว่าจะสั่งหน้าอะไรมาก็เหอะ พิซซ่าหน้าที่ผมทานมันจะเต็มไปด้วยพริกป่น กัญชา (หรือใบอะไรซักอย่า) และราดทับด้วยซอสพริก จนดูกันไม่ออกหรอกครับว่าหน้าที่สั่งมา มันหน้าอะไรกันแน่ แต่ก็แปลกอยู่อย่างเวลากิน MK ผมเองไม่ค่อยชอบกินน้ำจิ้ม -_-" (โรคจิตเล็กๆ) เรื่องมันมีอยู่ว่าวันนั้นที่เราไปนั่งทานกัน ผมก็กินแบบปกติของผมหล่ะครับ แต่พอดีรูปมันแคบ ผมเลยเปิดฝาออกแล้วเขี่ยๆ พริกป่นลงไป แล้วก็ปิดฝากลับ ปัญหาคือพอผมจะหยิบมาเทอีกครั้ง ฝามันหลุดออกมา แล้วพริกป่นหล่นลงไปบนพิซซ่าชิ้นนั้น เป็นกองเลยครับ เธอตำหนิผมใหญ่เลย หาว่าผมใส่อะไรกันขนาดนั้น จะกินได้ไง จนผมบอกเธอว่า ไม่ได้ตั้งใจเฟ้ย ฝามันหลุดกลิ้งอยู่นั่นไง เท่านั้นแหละ ถึงได้ขำออก แล้วก็บอกว่า กินให้หมดด้วยนะ เหอะๆ พิซซ่าหน่ะหมดแน่ แต่พริกป่นคงไม่ไหวหรอกมั๊งคร๊าบบ

Tuesday, July 15, 2008

นาฬิกาทราย

เมื่อวันก่อนตอนรุ่งสางเกือบจะตื่นนอน (ที่คิดว่าเกือบจะตื่นนอนเพราะแว๊วเดียวที่ผมมองเห็น ผมก็ตื่นขึ้นมา) หลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืนคงด้วยที่อากาศมันร้อนทำให้การนอนไม่ค่อยต่อเนื่องสักเท่าไหร่ แต่ก่อนจะตื่นก็ยังมีเจ้านาฬิกาทรายแว๊บเข้ามาในฝัน แปลกดี ตื่นมายังนั่งนึกขำกับตัวเองชิวิตผมเรื่องเดียวที่เกี่ยวข้องกับนาฬากาทรายก็คือเวลาเปิดโปรแกรมแล้วต้องรอ เจ้านาฬิกาทรายจิ๋วที่ปลายเม้า มันจะพลิกไปพลิกมา หรือมันหลอนผมเข้าให้แล้ว ถึงขนาดเก็บมาฝันเลยเหรอวะ (คิดกับตัวเอง) ระหว่างที่นั่งสลึมสลือก่อนจะไปอาบน้ำ ผมได้มีโอกาสพิจารณาลักษณะพิเศษของวัตถุที่เรียกว่านาฬากาทราย มันคงจะเป็นเครื่องมือจับเวลาชนิดพกพา ที่สามารถใช้งานได้ทุกที่ทั้งวัน (ไม่เหมือนนาฬิากาแดดที่ต้องพึ่งแดด) แถมยังคาดหวังถึงเวลาที่เท่ากันได้ในแต่ละครั้ง ไม่เหมือนก้านธูป หรือเทียนไข ที่สภาพแววล้อมและวัสดุที่ทำ มีผลต่อความยาวนานในการเผาไหม้ของมัน อีกเรื่องนึงที่นึกถึงก็คือ เวลาเรามองนาฬิกาทราย มันมีสองส่วนเหมือนชิวิตเราโดยแท้ ส่วนข้างล่างที่ทรายไหลลงมา และส่วนข้างบน ที่ทราย ค่อยๆ หมดไป ทุกเม็ดทรายที่ไหลสู่เบื้องล่าง ก็คงไม่ต่างกับเวลาในชิวิตของเรา ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดั่งเม็ดทราย ส่วนที่เหลือด้านบนก็คงเป็นเวลาของชิวิตที่เรายังมีเหลืออยู่ ต่างกันตรงเวลาของชิวิตมันถูกปิดด้านบนเอาไว้ เราไม่รู้หรอกว่าเรามีเวลา หรือเหลือทรายอีกมากน้อยเท่าไหร่ และชิวิตเมื่อจบสิ้น การพลิกกลับถ้ามีจริง เราก็ต้องกลับมาเริ่มจากความว่างเปล่าอยู่ดี อีกบนเรียนในพุทธศาสนาที่สอนไว้คือ การเกิดหรือแตกดับ มันมีอยู่ทุกชั่วขณะจิต หมุนเวียนตราบเท่าที่ชิวิตเรายังดำเนินต่อไป ก็คงเหมือนกับนาฬิกาทรายที่ปลายเม้า พลิกไปพลิกมาจนโปรแกรมมันเปิดสมบูรณ์ แต่เมื่อไหร่เราไปเปิดโปรแกรมใหม่ เราก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นเจ้านาฬิกาทรายอันจิ๋วนี้อีกครั้ง หรือแม้แต่นาฬิกาทรายบางอัน มันอาจจะพริกกลับโดยที่ทรายยังไหลลงมาไม่หมดด้วยซ้ำ การพลิกครั้งนี้ไม่ได้เริ่มจากความว่างเปล่า แต่ยังมีเศษของทรายเก่าที่ตรงค้างอยู่ และในความเป็นจริง มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเริ่มทำอะไรโดยการลบความรู้สึกเก่าๆ ทิ้งไปให้หมด โอ้ว แค่ฝันเห็นนาฬากาทราบแว๊บเดียว มันคิดไปได้ไกลขนาดนี้เลยเหรอวะเนี๊ย!!

Sunday, July 13, 2008

เข็มทิศชีวิต

เข็มทิศชีวิต หนังสือเล่มนี้ได้มาจากน้องคนนึงเมื่อวันเกิดที่ผ่านมา (สักปี) ผมไม่เคยแกะออกมาดูเลย วันนี้เหลือบไปเห็นริบบิ้นยังผูกไว้อย่างดี แต่สภาพหนังสือมันไม่ใหม่สักเท่าไหร่ คงด้วยระยะเวลาที่มันวางอยู่กอปรกับสถานที่ที่มันวางยิ่งส่งเสริมให้มันดูเก่า เก่าเกินกว่าจะเป็นหนังสือที่ยังไม่เคยหยิบมาอ่าน แล้วมันก็ทำให้ผมละลึกไม่ได้ด้วยว่ามันมาด้วยวันเกิดปีไหนกันแน่ ตอนเค้าให้มาเค้าไม่ได้หมายความว่าผมเป็นพวกเคว้งคว้างไม่มีจุดหมายหรอกนะ แต่เค้าบอกว่าเค้าอ่านแล้วมันดี ก็เลยอยากให้ผมได้อ่านบ้าง หนังสือขายดีขึ้นหิ้งร้านนายอินทร์มานมนานแล้วแหละครับ เล่มที่ผมมีอยู่ก็พิมพ์ครั้งที่ 47 เข้าไปแล้ว ป่านนี้คงทะลุ 50 ไปแล้วมั๊ง วันนี้มันสะดุดตาผมเท่านั้นแหละ เลยหยิบออกมาเป่าๆ ปัดๆ หน่อย แต่ทันทีที่จะแกะริบบิ้นออก มันคงเป็นไปไม่ได้ ที่ผมจะอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วมีอารมณ์ร่วมกับมัน หรือเห็นคล้อยตามกับมันเป็นแน่ หนังสือคงเป็นการใช้ธรรมมะ มาเป็นเครื่องมือในการใช้ชิวิต (ผมเคยได้ดู TV แล้วคนเขียนเค้ามาพูดถึงหนังสือเล่มนี้ เมื่อไม่นานนี่เอง) ธรรมมะกับผม ถึงจะพอไปด้วยกันได้ แต่ให้ตายเหอะ ผมยังไม่สามารถสลัดความคิดบางอย่างออกไปจากจิตใจได้ ถึงบางห้วงผมจะไม่ได้คิดอะไรเลยในหัว แต่การไม่คิดอะไรเลย มันก็ไม่ได้หมายความว่าจิตมันจะว่างไปในทางเดียวกับที่ท่านพุทธฑาต ท่านว่าไว้ในหนังสือเรื่องจิตว่าง มันกลวงโบ๋ร่องลอยพิกล อาการแบบนี้เกินกับผมมาแล้วหลายครั้ง เมื่อเกิดอาการแบบนี้ทีไร ผมก็จะค่อยๆ พิจารณามันทุกที ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของผมนะ มันเกิดอะไรขึ้นกับความคิด ความรู้สึก ไม่ว่าจะต่อสิ่งที่มากระทบ สิ่งรอบๆ ตัว หรือสิ่งที่อาจจะต้องเผชิญกับมันในวันรุ่งขึ้น หรือผมเป็นคนที่ไม่มีเป้าหมายชัดเจน ไม่เคยอยากได้อะไรเป็นรูปธรรม ทำให้การมีชิวิตอยู่มันดูเหมือนไม่จำเป็นกับผมด้วยซ้ำ จนวกเข้าคำถามยอดนิยมคือ "มีชิวิตอยู่เพื่ออะไร?" เอ หรือมันถึงเวลาที่ผมต้องอ่าน เข็มทิศชิวิตแล้วนะ...

Saturday, July 12, 2008

ขอบใจนะ

เพลงนี้เพราะดี ชอบ :) ลองฟัง
--
เนื้อเพลง ขอบใจนะ แพรว คณิตกุล D.I.Y. by Narongvit ณรงค์วิทย์

ข้อความที่เธอเคยส่ง อะไรที่ทำให้ฉัน
แสดงถึงความเป็นห่วงและสนใจ
เพิ่งรู้ว่ามันลำบาก ไม่เป็นตัวเธอใช่ไหม
เหนื่อยไหม ต้องทำอะไรอย่างนี้

* อย่ายื้อให้เหนื่อยใจ หากเธอไม่เป็นตัวเอง
อย่าฝืนทำต่อไปอีกเลย เพื่อให้เรารักกัน

** ขอบใจนะที่ครั้งนึงเธอเคยยอมฝืนใจตัวเอง
ขอบใจนะฉันรู้ว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว
อย่างน้อย ครั้งหนึ่งที่พยายามทุ่มเท
อดทนให้กัน แค่นั้นก็ดีมากมาย

อย่าโทษว่าตัวเธอผิด อย่าคิดว่าเป็นเรื่องร้าย
อย่ากลัวถ้าเธอจะปล่อยมือฉันไป
กลับไปเป็นเธอคนเก่า เก็บความทรงจำนี้ไว้
ได้ไหมฉันขอให้เป็นอย่างนั้น

* , **,**

มีคำตอบของคำถามแล้ว..

ไม่ได้ blog เสียหลายวัน จริงๆ คือรอคำตอบของคำถามด้วยแหละ รอคำตอบคือรอคำตอบ สิ่งที่รอคือคำตอบ ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะออกมาแง่บวกหรือลบ วันนี้มันมีคำตอบของคำถามแล้ว มันคงเป็นคำตอบที่ผมไม่อยากให้เป็น แต่เมื่อผมเริ่มตั้งคำถาม ผมต้องยอบรับกับคำตอบ ไม่ว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน ทันทีที่ผมเห็น mail ของคุณ ผมรู้แล้วว่าคำตอบที่ผมรอมันมาแล้ว ไม่รีรอที่จะเปิดอ่าน และซึมซับความความรู้สึกทั้งหมด ที่คุณได้บรรจุมันลงมาใน mail ฉบับนั้น ผมไม่อยากให้ใครเป็นคนแบบผมเลยนะ แต่คุณก็ดันเป็นในแนวๆ เดียวกัน เห้ย หรือคนทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้ฟะ คนแบบที่ว่าคือ แคร์ความรู้สึกคนอื่นมาก มากเสียจน ลืมความรู้สึกของตัวเองไป ตอนที่ผมได้บอกความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณไป วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมตั้งใจจะเปลี่ยน เปลี่ยนจากคนที่เก็บซ่อนความรู้สึกมาเป็นคนที่แสดงความรู้สึกออกมา ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือข้อความ แม้แต่การตั้งคำถาม ที่ล่อแหลมต่อคำตอบ ผมก็อาจหาญตั้งมันขึ้นมา จริงๆ ผมไม่ใช่คนแบบนี้โดยชาติกำเหนิดหรอกนะ อาจจะเพราะว่าผมเคยมีปัญหาเพราะการไม่ยอมพูด หรือบอกความรู้สึก บางครั้งก็คิดว่า เค้าน่าจะรู้ ซึ่งหลายครั้งเค้าก็ไม่รู้หรอก รู้มั๊ยหลายๆ คนรอคำตอบโดยการไม่ตั้งคำถาม ความรู้สึกถึงมันจะสัมผัสกันได้ แต่มันก็ไม่ชัดเจนเหมือนกับการได้พูดคุย ถามไถ่กันหรอกนะ (บอกตัวเอง) การได้รู้จักคนๆ นึง มันเป็นกำไรของชิวิต ความคิดนี้ผมยึดถือมาตลอด ไม่ว่าคนๆ นั้นมันจะดีแย่ ขนาดไหน มันคือคน ที่เราเป็นไม่ได้ เพราะเราก็คือเรา และเค้าก็คือเค้า แต่เราเรียนรู้ได้จากสิ่งที่เค้าเป็น และเค้าเจอ และในหลายๆ คนที่เราเจอ มันก็มีไม่กี่คนหรอกที่เราประทับใจมาก มากถึงขนาดไปบอกเค้าว่า เราชอบเค้า :P เมื่อเวลามันหมุนผ่าน สิ่งที่เคลื่อนไหวตามเวลาก็คือชิวิต ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่ แต่เวลามันเคลื่อนไหวจริงๆ อย่าไปกลัวว่าใครจะเสียใจ ในความเป็นตัวเราหล่ะ คิดเอาไว้เสมอว่า เราเป็นเรา มาก่อนที่เค้าจะเจอเราด้วยซ้ำ บางครั้งเราอาจจะอยากเปลี่ยนเพื่อให้มันเข้ากับเค้าได้บ้าง แต่เรายิ่งห่างจากตัวเราเท่าไหร่ บางครั้งเรากลับยิ่งห่างจากตัวเค้าด้วยเช่นกัน มันเป็นประสบการณ์ที่ดีช่วงหนึ่งของชิวิต ผมได้มีเวลาพิจารณาถึงความรู้สึกของตัวเอง ว่าทำไมไอ้ความรู้สึกที่เรียกว่า ความคิดถึง มันถึงวนเวียนไม่หาย ขนาดในวันที่มีภารกิจการงานวุ่นวาย ตอนหลับยังฝันถึง 55 ตลกดีหัวใจ แล้วมันก็เป็นอย่างนี้ทุกทีสิน้า แต่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกนะ ผมเคยผ่านความรู้สึกแบบนี้มาแล้ว แต่มันไม่เคยเข็ดเท่านั้นเอง แต่แปลกอย่างคือ เวลาเกิดความรู้สึกแบบนี้ทีไร มันไม่เคยเหมือนว่าเคยเกิดมาแล้ว หรือผมเองไม่เคยยอมเรียนรู้เรื่องพวกนี้นะ คงอย่างที่ผมบอกคุณ ผมไม่เคยสนใจว่าท้ายที่สุดมันจะจบลงยังไง ผมอินกับมันเสมอมา จะว่าไป พี่คุณคนนี้ มันไม่เคยยอมเรียนรู้จากความผิดหวังเลย หรือไงนะ :P

** ผมยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อคุณเสมอนะ ตราบที่คุณยังต้องการ **

Wednesday, July 02, 2008

ถ้ามีโอกาสได้ผ่านมาที่แห่งนี้ ตอบคำถามผมหน่อยนะ

ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่ช่องว่างมันขยายตัวกว้างมาก มากเสียจนผมมองไม่เห็นอีกฝั่งนึง จนตอนนี้ผมเริ่มนึกไม่ออกแล้วว่าระยะทางระหว่างเรามันห่างกันขนาดไหน เพราะเมื่อสุดสายตาของผมแล้ว ระยะทางมากกว่านั้นมันก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับคุณไกลออกไปจากเดิมเลย เชื่อมั๊ยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยสนใจช่องว่างที่เกิดขึ้นตรงนี้เลย มันก็แค่ระยะทาง ไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณแม้แต่น้อย ผมเป็นคนนึงที่เชื่อว่าความรู้สึกต้องการที่ว่าง ที่ว่างของความรู้สึก ที่ว่างที่จะเปิดโลกทัศน์เราต่อสิ่งต่างๆ มันสำคัญเพราะการดำรงอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน ถ้าวันนึงในเส้นทางเค้าเจอใครดีกว่า เค้าก็ต้องไป หรือถ้าเค้ารู้สึกว่าเราไม่ใช่ นั่นก็เป็นเหตุผลนึง ที่ดี แต่เค้าจะรู้ได้ไงว่าใช่หรือไม่ใช่ มันก็ต้องด้วยการเปิดพื้นที่ว่างตรงนี้แหละ ให้ได้เกิดความเคลื่อนไหว ได้เห็นมุมมองอื่นๆ ได้สูดอากาศในพื้นที่อื่นๆ บ้าง นอกจากลมหายใจ มุมมอง หรือความคิดของแค่คนที่เราคบด้วยเท่านั้น ถ้ามันใช่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมันได้หรอก แต่ถ้าไม่ใช่ คุณเองก็ฉุดรั้งเค้าไม่ได้ทั้งชิวิตเช่นกัน รักใครจงปล่อยเค้าไป ให้เค้าเห็น ให้เค้าเจอ ให้เค้าได้พบ สิ่งต่างๆ จนเค้ารู้สึกว่าอะไรที่มันสำคัญที่สุดสำหรับเค้า ถ้าสิ่งนั้นเป็นคุณ นั่นคงเป็นคนที่ใช่สำหรับคุณแล้วแหละ แล้วตูมาพร่ำบ่นอะไรในวันนี้วะเนี๊ย 55 เปล่าหรอก คืออยากจจะบอกว่า ณ เวลาที่เขียนข้อความนี้ ความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณมันก็ไม่ได้แปลงเปลี่ยนไปไหนหรอกนะ ความคิดถึงที่ไม่ได้ป่าวประกาศ หรือแจ้งให้ทราบ มันก็ยังมีปริมาณเท่าเดิม (แถมยังเป็นปริมาณที่นับไม่ได้ด้วย คงพอๆ กับความคิดถึงที่ผู้ชายคนนึงจะสามารถคิดถึงผู้หญิงคนนึงได้แหละ - เน่าจริงๆ 555) ความห่วงใยก็เช่นกัน แต่ปัญหาคือผมรู้สึกว่า ความรู้สึกที่ว่ามานี้ มันทำให้คุณอึดอัด หรือเปล่านะ ผมรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น และผมคิดว่าจะไม่รบกวนคุณด้วยเรื่องแบบนี้แล้วแหละ เพราะมันเหมือนผมเห็นแก่ตัว ที่เอาแต่ความรู้สึกปั้นเป็นก้อนๆ โยนใส่หัวคุณอยู่ได้ (ถึงจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้โยนก็เหอะ :P ) เห้ยพร่ำมาซะยาว เอาเป็นว่า มีเรื่องนึงอยากจะถาม ซึ่งผมเคยถามคุณมาแล้วครั้งนึง วันนี้คำตอบมันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้

ถาม: เรายังอยู่ในสภาวะเรียนรู้กันและกันอยู่มั๊ย? หรือโอกาสนั้นมันจบไปแล้ว

นี่ยังยืนยันเหมือนเดิมนะ ขอให้ตอบอย่างที่ใจคิด ไม่ต้องกลัวผมเสียใจ เพราะยังไงซะ ไม่ว่าคำตอบมันจะออกมายังไง มันไม่ทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีต่อคุณ มันหมดไปหรอก แต่มันอาจจะเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมเท่านั้นเอง ที่สำคัญผมไม่อยากให้วันนึงในอนาคต เมื่อมองมายังจุดนี้ ผมจะไม่มีคำตอบให้ตัวเอง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเรา และผมคงคิดแทนคุณไม่ได้ แม้นจะคาดเดาไปร้อยแปดความเป็นไปได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ปล. ไม่ต้องรีบตอบนะ ถ้ายังไม่พร้อม ผมรอได้เสมอ

Sunday, June 29, 2008

Keep Moving Forward

หนังที่อยู่ในกรุมานาน ที่ไม่ได้หยิบมาดูก็เพราะแผ่นที่มีมัน sub นรก ดูแล้วเสียอารมณ์ วันนี้ได้แผ่นมาจาก office เลยได้โอกาสเปิดดูซะหน่อย หลังจากหมดเวลาทั้งวัน (ทั้งวันจริงๆ) ไปกับการนอน ปกติผมชอบดูหนัง animation อยู่แล้ว แรกเริ่มเลยคืออยากทำงานพวกนี้ ตั้งแต่ความทึ่งใน Toy Story แล้ว หลักจากนั้นผมก็ติดตามหนัง animation มาแทบทุกเรื่อง หลายๆ เรื่องไม่ใช่เพียงแค่ความอลังการและสุดยอดของเทคนิคการนำเสนอ แต่แทบทุกเรื่องแฝงด้วยสาระ มี plot ที่สวยเก๋ หลายๆ เรื่องก็ให้กำลังใจในชิวิตได้ดี หลายๆ คนอาจจะมองว่าเป็นเพียงแค่การ์ตูน เด็กๆ เค้าดูกัน สำหรับผม มันไม่จริง ซะทีเดียว เรื่องเด็กๆ แบบนี้ บางทีดูแล้วก็ซึมลึก น้ำตาคลอได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็กๆ ก็เหอะ หลังจากดูจบ ผมได้อะไรจากการดูหนังเรื่องนี้ ก็อย่างหัวข้อที่บอกนั่นแหละครับ "Keep Moving Forward" ในบทพูดภาษาไทยก็คือ "จงลืมความผิดหวังในอดีต และเดินหน้าต่อไป" มันก็จริงๆ นะครับ ทำไมต้องให้ชิวิตเรามันโดนฉุนรั้งด้วยอดีต ที่ความเป็นจริงคือ เราแก้ไขอะไรมันไม่ได้แล้ว ปัจจุบันต่างหาก ที่จะเป็นตัวชี้อนาคตของเรา ว่ามันจะดีจะแย่ หรือจะมีความสุขหรือไม่ ดังนั้นเมื่อเจอความผิดหวังไม่ว่าจากอะไร จงจำเอาไว้ว่า "Keep Moving Forward" นะครับ

เห้ย หนังเรื่องไรฟะ อาจจะงง ชื่อหนังคือ "Meet The Robinsons" ครับผม
เออมีตอนนึงแม่ของครอบครัวนี้บอกกับลูอีส ในตอนที่เค้าซ่อมเครื่องยิงเนยถั่วแล้วผิดพลาดว่า
"คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาด มากกว่าความสำเร็จ นะจ๊ะ" ผมชอบเหมือนกัน

Saturday, June 28, 2008

ผู้ชำนาญการในการเดินสวน

ไม่รู้จะตั้งหัวข้ออะไรให้เหมาะกับเรื่องของวันนี้ พอดีมีหน้าที่ต้องไป office ทำงานกะดึก(มาก) อีกแล้ว ด้วยความที่ไหนๆ จะออกจากห้องแล้ว ต้องหากิจกรรมเสริม โดยการ เอากล้องไปด้วย นานมาแล้วเคยมีโปรเจ็กจะไปถ่ายรูปสถานที่เปิดไฟสวยๆ ในยามค่ำคืน วันนี้เลยกะว่าแยกลาดพร้าวนี่แหละวะ ต้องไปถ่ายซะหน่อย (อย่าถามผมนะว่ามันเปิดไฟสวย ยังไง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกผ่านไปผ่านมาบ่อย รถราวิ่งกันควักไขว่ น่าจะทำให้แสดงไฟสวย ทีเดียว - ความคิด) แต่พอชะโงกหน้ามองฟ้าเท่นั้นแหละ โอ้ว แม่เจ้า ฟ้าที่เคยแจ่มจรัส มาหลายวัน ไหงเต็มไปด้วยเมฆกันหล่ะเนี๊ย ตั้งใจจะไปถ่ายภาพทีไร ต้องเจอแบบนี้ทุกทีสิน้า ไม่เป็นไร ออกเร็วหน่อย แวะสวนด้วยดีกว่า (สวนที่ว่าคือสวนจตุจัก) เพื่อนๆ ใกล้ชิดคงรู้ดีว่าผมไม่ชอบการเดินสวนเข้าขั้น เคยเอยไว้ว่า "ถ้ากูคบใครนะ แล้วมาช่วนกูไปเดินสวน กูจะไม่ไปแล้วไม่สนใจ" แต่นั่นมันเป็นเรื่องนานมาแล้ว เอาเข้าจริง ผมเองก็ไปเดินสวนจตุจักบ่อยเหมือนกัน วันนีก็อีกเช่นกัน เป้าหมายคราวนี้คือ ไปหาดูเสื้อวอร์ม adidas แบบที่เจ้าตัวร้ายในหนัง หรือเกมส์มันชอบใส่กัน ไปสวนเพราะอยากได้ที่มันเหมือนๆ กันเท่านั้นแหละ วันก่อนจะไปดูที่เซนทรัลลาดพร้าว เพราะมีงาน adidas sale แต่มันต้องฝากกระเป๋า ไม่อยากเอา notebook ไปฝากใคร เลยไม่ได้เดินเข้าไปดู

ผมเดินไปเกือบๆ สองชั่วโมงเจอร้านขายเสื้อแบบที่ต้องการอยู่สองร้าน แต่ลองจับเนื้อผ้าดูแล้วไม่ work เลยหว่ะ ถึงหน้าตามันจะดูเข้าที แต่เนื้อผ้าไม่เป็นที่ถูกใจซักเท่าไหร่ ใจนึงคิดจะย้อนไปที่ central อีกรอบ แต่คิดอีกทีเดินไปดูตามเสื้อผ้ามือสองดีกว่าถูกแล้วก็แท้ด้วย (หรือเปล่าวะ) เลยเดินไปละเลียดโซนเสื้อผ้ากระสอบ (ว่ากันว่ามันยัดมาขายเป็นกระสอบ คนแยกขาย ก็แล้วแต่ดวง) ระหว่างทางเดินผ่านร้านต้นไม้ อดไม่ได้ที่จะมองหาคนรู้จัก เผื่อเธอจะมาเดินดูต้นไม้ (ตกลงตูจะหาเสื้อหรือหาคนวะเนี๊ย?) ไม่เจอหรอกครับมองไปด้วยความคิดถึงเท่านั้นแหละ เวลาคุณคิดถึงใครหน้าคนนั้นมันจะชอบไปแปะบนหน้าคนอื่น ข้อนี้ผมต้องพึงระวังให้ดีเลย เออ สุดท้ายก็ได้มาเมือสองเก่าชมัด แต่เนื้อผ้า ok ราคาดันเท่ากับมือ 1 ของก๊อป เป็นคุณจะเลือกอันไหน ผมเลือกรักแท้ เห้ย ของแท้ ถึงมันจะเก่าหน่อย แต่มันก็คือของแท้ :D เดินสวนจนลิ้นห้อย แต่ก็ถือประประสบผลสำเร็จได้ของมา คุณเชื่อมั๊ย น้อยครั้งที่ผมมาเดินสวน แล้วได้ของกลับ เพราะส่วนใหญ่ ผมจะหาไม่เจอ นั่นไงหล่ะ ผมเลยนึงถึงคนๆ นึงซึ่งเป็นคนที่ผมเรียกว่า "ผู้ชำนาญการในการเดินสวน" ผมเคยไปบอกเธอแล้ว ว่าผมรู้สึกอย่างนั้น เธอบอกผมกลับมาว่า ชำนาญจริง แต่ชำนาญแค่ 2 ซอย -_-" (ผมรู้น่าว่าซอยไหนบ้าง 55)

กลับมาถึง office จัดแจงเตรียมกล้อง มันต้องได้ภาพซักหน่อยแหละ แล้วก็เดินออกจาก office ข้ามสะพานลอยไปฝั่งเซนต์จอน เดินไปข้ามสะพานลอยอีกทีตรงถนนลาดพร้าวข้ามสะพานลอยก่อนถึง ปตท. เดินเลาะรั้วกลับมาข้ามสะพานลอบตรงหน้าธนาคารทหารไทย เดินรอบ 5 แยกลาดพร้าว ถึงกับหอบแฮก ตอนแรกกะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สีลมด้วย ไหนๆ ก็เอากล้องมาแล้ว สุดท้ายก็ถอดใจ หลังจากนั่งกินก๊วยเตี๊ยว มือยังสั่นเลย เวรจริงๆ เกิดไปเป็นลมเป็นแล้งมา คงดูไม่จืด กลับขึ้น office ยังไม่ได้ใกล้เวลาเริ่มงานเลย ไปนั่งเม๊ากับยามอีก เหอะๆ แกคุยสบัดเหมือนเดิม ...

หยุด จากสิ่งใด?

...ทุกๆ การเดินทางค้นหา
ไม่จำเป็นต้องได้มาถึงจุดหมาย
แต่การเดินทางด้วยหัวใจ
กลับมีความหมายในทุกห้วงเวลา
...ฉันมองฉันเห็นความเคลื่อนไหว
ของหัวใจดวงใดๆ ที่กำลังค้นหา
ฉันพยายามมองเข้าไปในแววตา
แต่ละคนสุขกับการค้นหานั้นเพียงใด
..บางคนก็สุขจนล้นเหลือ
บางคราก็ทุกข์เหลือคนา
บางหนก็ต้องทนกับปัญหา
เพื่อได้มาซึ่งกำลังใจ ต่อที่หมาย
..เมื่อมองกลับมาที่ตัวฉัน
นี่เรา เดินทางเพื่อคนหาสิ่งใด
เมื่อจุดหมายในวันนี้มันแสนจะลางเลือน
เลื่อนลอยเกินจะเอื้อมมือไปไขว่คว้า
ไม่มีสิ่งใดให้ได้มา
เพื่อสร้างเสริมพลังใจในรอยทาง
...ฉันควรหยุดที่ตรงไหน
หยุดใจที่ไขว่ขว้า
หยุดเวลาที่สับสน
หยุดทุกสิ่งที่คิดคำนึง
หรือหยุดความคิดถึงที่เกิดขึ้น ทุกเวลา ..

Friday, June 27, 2008

ดวงตาที่ว่างเปล่า

วันนี้ระหว่างนังฟังเพลงแล้วก็ config ระบบไปด้วย ปกติเวลา config ระบบที่มีการวางแผนไว้ก่อนแล้ว ผมมักจะทำไปพร้อมๆ กับการเปิดเพลงกระแทรกรูหู จริงๆ คือฟังเพลงไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ แต่มันก็ทำให้ผมไม่วอกแวกกับเสียงต่างๆ รอบข้าง ดนตรีมันมีจังหว่ะและทำนอง ถีงเราไม่ได้ตั้งใจฟังก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันทำให้จังหว่ะการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอ ร่วมถึงการทำงานมันค่อยข้างจะต่อเนื่อง ผมก็เห็นนะว่ามีคนมาเดินๆ รอบๆ คุยกันอะไรซักอย่างให้เห็นแว๊บๆ อยู่นานพอควร แต่ผมก็ไม่ค่อยได้สนใจ สักพักคณะนั้นก็มาหยุดอยู่ที่หน้าผม ด้วยความที่พี่สาวจ้องมาที่ผม ผมเลยต้องถอดหูฟังออก แกถามผมว่าเค้ามาเดินทำอะไรกันนี้ไม่สนใจเลยนะ ผมขยับปากกำลังจะตอบ (จริงๆ คือไม่รู้จะตอบอะไรเพราะไม่ได้สนใจจริงๆ) ช่วงจังหว่ะนั้นเองที่เค้ารอคำตอบ สักพักในหนึ่งชั่วขณะจิต แกก็เอยมาบอกว่า "ด้วงตาเอ็งนี่โคตรว่างเปล่าเลยหว่ะ" แล้วก็เดินจากไป ผมก็จัดแจงเสียหูฟังแล้วก็ทำงานที่ผมทำค้างอยู่ต่อไป ไม่ได้ใส่ใจอะไร พองานเสร็จผมถึงได้มีโอกาสถามว่าเค้ามาทำอะไรกัน ท้ายที่สุดผมติดใจตรงดวงตาที่ว่างเปล่านี่แหละ มันเป็นยังไงหว่า มองตานี่ทะลุไปถึงความคิดที่กรวงโบ๋ในขณะนั้นเลยเหรอ? จะบอกว่ามันว่าเปล่าเฉพาะกับเรื่องที่พี่ถามผมเท่านั้นแหละนะ แต่ความจริงๆ ดวงตาที่ว่าเปล่าคู่นี้ซ่อนความสับสนไว้ภายใน อย่างที่พี่สาวของผมคนนี้ไม่สามารถคาดเดาได้เลยแหละ :P

>> วันนี้พี่ที่ office มาคุยด้วยเรื่อง SPAM mail
พี่: เห้ยช่วงนี้ spam เยอะมากเลยหว่ะ ลูกค้าโทรมาด่า ว่า spam ไวอะก้าเยอะมากเค้าไม่ต้องการ
ผม: พี่มันก็มีมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ อีกอย่างบางคนอาจจะอยากอ่านก็ได้
พี่: เห้ย ลูกค้าพี่เค้ามีลูกแล้วเว้ย ไม่ต้องการไวอะก้าแล้ว
ผม: เกี่ยวอะไรพี่
พี่: ก็เกี่ยวดี มีลูกแล้วจะเอาไวอะก้าไปทำไม
ผม: พี่เค้าไว้เพื่อความบันเทิงไม่ใช่เหรอ?
... เสียงหัวเราะเกลียวเกิดขึ้นรอบๆ ...
.ผมกับพี่ สลายตัวในบัดดล ดันจะโกนคุยกัน ลั่น office ... เสียภาพลักษณ์หมด 55

Thursday, June 26, 2008

กล้าที่จะฝัน แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ (ในตอนนี้) แบบของ John Lennon.

ฟังเพลงนี้แล้วก็นั่งอมยิ้ม ผมเองก็มีความฝัน แต่ฝันถึงแต่เรื่องของตัวเอง ขนาดแค่นี้มันยังเป็นไปได้ยาก นายคนนี้กล้าฝันถึงขนาดเปลี่ยนแปลงโลก มีใครเคยบอกว่าไว้ว่า "อยากให้โลกนี้เป็นยังไง จงทำมัน" สิ่งต่าง ในโลกทีเราเห็นอยู่ทุกวันนี้ก็มักจะมาจากความคิดเพ้อฝันอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการบินเหมือนนกการหายใจใต้น้ำเหมือนปลา การออกไปสัมผัสกับดวงดาวในจักรวาล ความฝันเป็นของฟรี ที่พระเจ้าประทานมาให้เรา ให้สมองของคนตัวเล็กๆ อย่างเรา สามารถฝันถึงการเปลี่ยนแปลงโลกใบใหญ่ ฝันถึงสิ่งที่สวยงาม ฝันถึงใครบางคน แม้นในความเป็นจริง มันจะเป็นไปได้ยาก หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ...

John lennon - Imagine

Imagine there's no heaven
It's easy if you try
No hell below us
Above us only sky
Imagine all the people
Living for today...
จินตนาการว่าไม่มีสวรรค์
มันง่ายมากถ้าคุณลอง
ไม่มีนรกอยู่เบื้องล่าง
เบื่องบนมีแต่ท้องฟ้า
จินตนาการว่ามนุษย์ทุกคน
มีชิวิตอยู่เพื่อวันนี้ ..

Imagine there's no countries
It isn't hard to do
Nothing to kill or die for
And no religion too
Imagine all the people
Living life in peace...
จินตนาการว่าไม่มีประเทศเขตแดน
มันไม่ยากที่จะทำ
ไม่มีสิ่งใดที่ได้มาด้วยการเข่นฆ่า หรือสังเวยด้วยชิวิต
และไม่มีลัทธิใดๆ
จินตนาการว่าทุกคน
ดำรงชีวิตด้วยสันติ

You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will be as one
เธอาจจะมองว่าฉันเพ้อฝัน
แต่ฉันไม่ใช่แค่คนเดียวหรอก
ฉันหวังว่าวันนึง คุณจะมาร่วมกัน
และโลกทั้งโลกจะเป็นหนึ่งเดียว

Imagine no possessions
I wonder if you can
No need for greed or hunger
A brotherhood of man
Imagine all the people
Sharing all the world...
จินตนาการวาไม่มีความเห็นแก่ตัว
ฉันจะประหลาดใจมากถ้าคุณทำได้
ไม่มีความโลภและคนความอดอยาก
อยู่กันอย่างพี่น้อง
จินตนาการ ว่าผู้คนทั้งหมด
มีความเผื่อแผ่กันทั้งโลก


You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will live as one

Wednesday, June 25, 2008

ข้าวเหลือ

เมื่อเช้ารีบออกจากห้องไปหน่อย ลืมเอาข้าวที่เหลือจากเมื่อคืนเข้าตู้เย็น แล้วก็ลืมไปเลย วันนี้กลับมาข้าวที่เหลือมันก็บูดซะแล้ว จัดแจงเอาน้ำเทใส่ แล้วก็เทข้าวทั้งหมดลงชักโครก แล้วก็กดให้มันไหลไปรวมกันที่บ่อปฏิกูลใต้คอนโด จำได้ว่าอยู่ที่บ้านไม่เคยทิ้งข้าวไปเปล่าๆ แบบนี้ ปกติซากของการกินเหลือ ก็จะโดนทิ้งลงถึงข้าวหมู แต่ถ้าเหลือคาหม้อ ก็จะเอาไปขยำใส่กระด้งตากแดด พอแห้งก็เอาเก็บไว้ในปี๊ป เคยถามย่าเหมือนกันหว่า ทำแบบนี้ทำไม ย่าบอกว่า มันขายได้ เค้าเอาไปต้มผสมน้ำข้าวกับรำ หรือไม่ก็ต้นกล้วยให้หมูกิน ไม่เคยเห็นจริงๆ เหมือนกันว่าเค้าทำกันยังไง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อที่ย่าบอก วันนี้เทข้าวทิ้งหน้าตาเฉย ย่าคงไม่หาว่าผมเนรคุณต่อกระดูกสันหลังของชาติหรอกนะ ปกติเวลากินข้าวเหลือแล้วเพื่อนบอกกินให้หมดเถอะเสียดาย สงสารชาวนา ผมจะบอกเค้าว่า จะไปสงสารทำไม กินหมดมันก็ไม่ได้ทำให้เค้าขายข้าวได้เพิ่มขึ้นหรอก แจ่มไหมหล่ะหลานย่า จริงๆ ก็ประชดประชันไปงั้นแหละ ปกติพยายามไม่ให้เหลืออยู่แล้ว ไอ้คนที่คิดแบบนี้จริงๆ (ไม่นับผมนะ ผมคิดเล่น) มันแย่เหมือนกันนะ มันทุนนิยมเข้าใส้เลย พอซื้อได้ก็ถือเป็นสิทธิ์ของตัว จะทิ้งจะขว้าง ไม่ดูแลยังไงก็ได้ ถือว่าถือสิทธิ์ขาดในของสิ่งนั้นไปแล้ว ตอนอยากได้บางทีก็ยอมทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา คนเรามันเป็นอย่างนี้เยอะเหมือนกันนะ พอได้มา ก็ลืมคุณค่าของมันไป ลืมความรู้สึกก่อนที่จะได้มา ว่าเราอยากได้มันขนาดไหน ไม่ดูแลให้ดีเหมือนเก่า .. ผมพูดถึงสิ่งของนะ ไม่ได้หมายความซ้อนเร้นแต่อย่างใด ...

Tuesday, June 24, 2008

หรือเราก็เป็นคนแปลกแยก จำพวกนึงหว่า

วันนี้ระหว่างนั่งช่วยน้องที่ office install โปรแกรม มันก็ถามผมว่า

น้อง: พี่ เวลาพี่ติดปัญหาแก้ไม่ออกพี่โทรไปหาใครอะ
ผม: เปล่าหว่ะ ถาม google
น้อง: มันต้องมีบ้างสิพี่ อย่างผมก็โทรหาพี่เวลาติดปัญหา
ผม: เห้ยไม่มีหว่ะ ส่วนใหญ่ถ้าติด โทรไปหาใคร ไม่เคยมีใครช่วยได้ หลังๆ เลยไม่โทร อีกอย่างงานพวกนี้เพื่อนๆ ไม่ค่อยมีใครทำด้วย
น้อง: อืมม แปลกดีพี่ ..

ใครแปลกว่า หรือแปลกตรงไหน ไม่ได้ถามมันกลับด้วย วันนี้ระหว่างนั่งเรือก็ได้ทบทวนเรื่องราวนี้อีกที (นี่ถ้านั่งทุกวัน สักวันต้องบรรลุโสดาบันแน่เลยหว่ะ) ผมเองก็มีคนโทรมาหาบ่อย เมื่อวันก่อนน้องคนนึงก็บอกว่าเวลามีปัญหากับคอมพ์ หน้าผมจะลอยมาทุกที เพื่อนโทรมาถามเรื่องซื้อของเกี่ยวกับคอมพ์ คนซื้อ RAM ก็ถาม ว่าอันไหนดี อืมม แล้วเวลาผมมีปัญหาผมถามใคร? ให้ตายเถอะหว่ะ น้อยครั้งมากที่ผมจะถาม หรือเพราะผมเชื่อคนยากวะ บอกแล้วก็ยังไม่เชื่อในทันที เอาไปหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกเพียบ หรือท้ายที่สุดจะซื้ออย่างมันบอกก็นั่นแหละ -_-"

ลองย้อนไปในอดีต ผมเองไม่ได้เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่แรก สมัยทำงานใหม่ๆ ตั้งแต่ตอนเรียน มีพี่คนนึงผมถามอะไรแก แกไม่เคยบอกผมตรงๆ มีแต่ให้ไปอ่าน docs หรือไม่ก็ manual ตลอด ผมเลยชิน อยากรู้อะไรก็จะไปหาอ่าน หลังๆ internet บูม อ่านทั้งเว็บบอร์ด ทั้งไทยทั้ง eng อ่านมันเข้าไป แรกติดนิสัยบอกให้คนที่มาถามผมไปอ่าน manual ด้วย แต่หลังๆ เริ่มผ่อนคลาย บางทีบอกมันไปเลย มันก็จะจบแล้วจะไปให้มันเสียเวลาอ่านทำไม แต่มักจะเจอประมาณ มาถามปัญหาเดิมๆ ซ้ำๆ เพราะ ว่ากันว่าถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง มันมักไม่ค่อยจำ (ทุกเรื่องมั๊ยนะ) ไม่รู้คนทั่วไปเค้าเป็นกันหรือเปล่า แต่ผมประเภทถ้าทำเองได้ เลือกทำเองก่อน ถ้าไม่ได้ ต้องคิดก่อนว่าทำไมถึงไม่ได้ ขาดอะไร ถ้าขาดอุปกรณ์ก็จะไปซื้อมา บางครั้งค่าอุปกรณ์มันมูลค่ามากกว่าไอ้งานที่ทำสำเร็จซะอีก เออหว่ะ แต่ว่าพี่คนนั้นเค้าคงเปลี่ยนไปแล้วเหมือนกัน ไม่นานมานี้เค้าโทรมาถามอะไรผมซักอย่างนี่แหละ เกี่ยวกับคอมพ์ ...

ในวันที่ฟ้าใส แดดส่อง

ในวันที่ฟ้าใส แดดส่อง
ฉันมองเห็นความเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นบนเส้นทางที่ฉันนั่งรถเมล์ผ่าน
ฉันเห็นผู้คนแปลกหน้า
มากกว่าคนที่ฉันคุ้นเคย
ถึงแม้จะเป็นเส้นทางเดิมๆ ที่ฉันเดินทางผ่าน
ทุกวัน ...

ฉันก็เห็นผู้คนแปลกหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเค้าไม่รู้จักฉันหรอก ฉันเองก็ไม่รู้จักเขา
ชิวิตแต่ละวันเราพบเห็นคนที่ไม่รู้จักมากมาย
และแต่ละคนก็อาจจะพบเห็นกันเพียงครั้งเดียว

ชิวิตในมหานครที่มีผู้คนมากมาย
แต่กลับมีคนที่ฉันรู้จักอยู่เพียงน้อยนิด
ที่บ้านนอกผู้คนเพียงหยิบมือ
น้อยครั้งที่ฉันจะได้มีโอกาสพบเห็นคนแปลกหน้า

อะไรมันสร้างความตื่นเต้นได้มากกว่ากันนะ
การบังเอิญพบคนรู้จักบนเส้นทางที่มีผู้คนมากมาย
กับการบังเอิญเจอคนแปลกหน้า
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เรารู้จัก
อย่างแรกคงสร้างความตื่นเต้นดีใจ
แต่ฉันขอเลือกเจออย่างหลังมากว่า
เพราะเมื่อเจอคนรู้จักเพียงคนเดียว
พอเค้าจากไป ฉันก็ไม่เหลือใครแล้ว
แต่อย่างหลัง ฉันไม่มีวันไม่มีใครแน่นอน ..

Sunday, June 22, 2008

The Notebook

อิ่มเอมกับความรักที่เหนือกว่าสิ่งใดๆ ไปกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นความชอบทำ ความถูกต้อง สิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็นหรือแม้แต่สิ่งที่ใจเราเองต้องการ หนังหลายๆ เรื่องมันทำให้เรามีความศัทธาในสิ่งที่เรียกว่าความรัก เรื่องนี้เองก็เช่นเดียวกัน พระเอกพบรักกับเองนางเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงฤดูร้อน แต่ทั้งคู่เชื่อว่ามันคือความรัก และระยะเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ความเชื่อนี้ ผมไม่รู้จะบรรยายอะไร เอาเป็นว่า ความรักถึงมันจะดูเพ้อฝัน แต่ผมคนนึงหล่ะที่เชื่อว่ารักแท้ มันมีบนโลกใบนี้ จริงๆ ...

Saturday, June 21, 2008

เจ็บไม่ทรมาณเท่าอดทน

จริงเหรอวะ C ลองมาพิจารณากันในรายละเอียดดีกว่า
มันประกอบด้วยความรู้สึก 3 อย่างคือ เจ็บ ทรมาณ แล้วก็ ก็ อดทน
...เจ็บ มันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นรวดเร็วรุนแรง
...อดทน คือความความยาวนานของความเจ็บปวด ถูกต้องมั๊ย?
...ทรมาน คือ การคงอยู่ในความเจ็บปวด

ลองดู เจ็บกับทรมาน คงหมายถึง เวลาเจ็บมันจะคงอยู่ไม่นาน?
ไม่นานนี้คือความเจ็บปวดทางกายภาพ หรือทางจิตใจก็ตามแต่

ลองดู ทรมาณกับอดทน คงหมายถึงเราต้องอดทดกับสิ่งที่มันเจ็บปวด
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยาวนาน เรียกเจ็บ ซ้ำๆ ดีมั๊ย :P

สรุป: มันเป็นภาวะแปรผัน และสภาพการคงอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นอันดับแรก
คือความเจ็บปวด ไม่ว่าจะทรมานหรือต้องอดทนหรือไม่ แต่เมื่อเกิด
ความเจ็บปวดขึ้นแล้ว เราต้องพิจารณาว่า ถ้าเราอดทดกับมัน
เราจะทรมานมั๊ย บางครั้งในช่วงเวลาที่เราอดทน มันก็มีช่วงเวลา
ของความสุขแทรกขึ้นมาบ้าง เพื่อให้สภาวะของความอดทนมันคงอยู่

โดยธรรมชาติ ถ้าเจ็บแล้วจำ หนีห่างจากสภาพวะที่จะนำไปสู่ความ
เจ็บปวดนั้น เราก็จะไม่ต้องอดทน และความยาวนานของสภาวะที่เรียกว่า
ทรมานก็คงน้อยไปด้วย แต่เรื่องบางเรื่องเราก็รู้ๆ กันอยู่ใช่มั๊ย
ว่า การหนีห่างเพียงเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น มันทำไม่ได้จริงๆ
ฉะนั้น ถ้าเลือกจะอดทน อย่าคิดว่ามันทรมาณนะ สู้ต่อไป :) ....

เปิดความทรงจำดีๆ ผ่านสายน้ำ

....อีกครั้งนึงนี่มีโอกาสได้ปล่อยความรู้สึกล่องลอยไปกับสายน้ำ (เวอร์ไปนิ๊ดดด แต่ก็น่าจะพอได้) เพราะวันนี้ได้มีโอกาสใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยาอีกแล้ว ผมชอบการนั่งเรือเหมือนกันแฮะแรกๆ คือมันเรื่อยๆ ดี คือแล่นไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีจังหว่ะต้องหยุดชะงัก นอกจากการจอดตามท่าเรือซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ยังไงซะก็ไม่มีติดไปแเดงแน่ๆ และโดยปกติผมไม่ค่อยมายืนเกาะขอบเรือดูวิวเท่าไหร่ด้วยแฮะ ถึงจะนั่งมาบ่อยก็เหอะ แต่วันนี้มีเหตุให้ต้องไปยืนเกาะ เพราะคนมันเต็ม พอเรือเริ่มแล่น ลมเริ่มกระทบใบหน้า สายน้ำกระซ่านเซ็น อากาศเย็นสบาย เท่านั้นแหละครับพี่น้อง ใจก็เริ่มลอย ...

....ที่ท่าสี่พระยา ครั้งนึงเคยมานั่งกินไอติมกับเพื่อน คราวนั้นทำให้รู้ว่า เห้ย ไอ้ติมซะเวนเซ่น กินกับกล้วยอะหร่อยดีแฮะ (ทำไมตูไม่เคยกินวะ) ฝั่งตรงข้ามคือคลองสาน เป็นแหล่งชอบปิ้งแบบแบกะดิน อีกที่ของคนย่านนี้

....ที่ท่าราชวงค์ เดินไปหน่อยก็จะเป็นเยาวราช ครั้งนึงเคยมีคนพาพวกเราท่องเที่ยวกินอาหารบนถนนเยาวราช กินไปหลายๆ อย่างตามที่คนนำบอกอร่อย สุดท้ายจบที่ข้าวขาหมู เค้าบอกผมว่า เห็นว่าผมชอบข้าวขาหมู เลยพามาเป็นที่ปิดท้าย คุณรู้มั๊ยครับ อาหารอย่างเดียวที่ผมไม่ได้กินในวันนั้นคือ ข้าวขาหมู เพราะผมกินไม่ลงแล้ว มันอิ่มซะเหลือเกิน เวรจริงๆ -_-"

....ท่าเรือสะพานพุทธ ก็ต้องเป็นสะพานพุทธ แหล่งชอบปิ้งในยามค่ำคืน สะพานพุทธยังคงเปิดไฟส่องสว่าง สวยเด่น เคยอยากจะสะพายกล้องมาถ่ายรูปซักที แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ทำ ..

....ท่าเตียน เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสมาที่วัดแจ้ง หรือวัดอรุณ ผ่านไปผ่านมาหลายที ชิวิตนี้ก็เคยได้มา ก็คราวนี้แหละครับ เออ ขอบอกว่า มันสูงจริงๆ ผมกลัวความสูงนะ คุณคงดูออก ถึงผมจะบอกว่าไม่กลัว ก็แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง ที่ท่านี้มีร้านอาหารแนวๆ อินดี้ เป็นอีกร้านที่พักพวกเคยแวะเวียนมานั่งชมบรรยากาศอยู่พักนึง

....ท่าวังหลัง (ศิริราช) ท่านี้ผมไม่เคยลง แต่ฝั่งตรงข้ามเป็นท่าพระจันทร์ จำได้ว่าเคยไปเดินตามหาร้านที่บุญชู เค้าชอบไปกินกัน แต่ไปซะมืดเลยไม่เจอ มีร้านหนังสือที่ได้ยินชื่อบ่อนมาก คือร้านน้อง ท่าพระจันทร์ (ร้านจริงๆ ไม่ใหญ่อยากชื่อ) แล้วก็ร้านนานอินทร์ เดินออกมาหน่อยมีที่กินเบียร์บรรยากาศแจ่มๆ คือราชนาวีสโมสร (ใกล้ท่าช้างมากกว่า) แล้วก็ร้าน ช.ปะทุมทอง ตรงข้ามวัดพระแก้ว หน้าพระลาน ..

....ท่าพระอาทิตย์ เดินทะลุออกถนนพระอาทิตย์ ต่อกับป้อมพระสุเมร เคยมานั่งแหงนคอดูดาว ในความวุ่นวาย บางครั้งแค่แหงนคอดูดาว เราก็แทบจะหลุดออกจากความวุ่นวายทั้งหมดแล้ว มีแค่คุณกับผม แล้วก็ท้องฟ้า และดวงดาว โอ้ว เวอร์อีกแล้วตรู ก่อนจะเดินละเลียดไปยังร้านกินลมชมสะพาน บรรยากาศสุดคลาสสิค ยังกะความฝันเลยหล่ะคุ๊นน ... เอ้อ เลยไปไกลแระ ตรงข้ามป้อมมีร้านมาตะบะเจ้าดั้งเดิม ตอนนั้นไม่รู้จักน้ำเสาวรส แต่คนมาด้วยเค้าบอกเค้าชอบกิน พอกินดู น้ำอะไรฟะ เปรี๊ยวชมัด ไม่เห็นมันจะอร่อยตรงไหนเลย -_-"

....ท่าเรือซั้งฮี้ (สะพานกรุงธน) ฝั่นธนจะมีร้านสองร้านคือ river bar กับ water front ครั้งแรกจะไป river bar แต่คนเต็มเลยจบที่ water front เป็นร้านอาหานที่บรรยากาศดีมากๆ ที่นึง หลังๆ มาระแวกนี้ทีไร ก็จะจบที่ water front ทุกที ความทรงจำเกียวกับร้านนี้เยอะมาก blog เดียวเอาไม่อยู่หรอก :P

....ท่าบางโพ ตรงข้ามหรือเยื้องๆ เป็น ร้าน To-sit peir 92 ร้านนี้ก็บรรยากาศดี ผมมาบ่อยอยู่ช่วงนึง หลังๆ ไม่ค่อยได้มาแล้ว เพราะเพื่อนๆ บอกว่ามันแพง แล้วก็บริการไม่ค่อยดี ตั้งแต่คนเริ่มเยอะ อะไร ๆ ก็ดูแย่ไป ถ้ามาทางถนน คือซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 ใกล้ๆ โรงบาลยังฮี ..

....ท่าเรือพระราม 7 มีร้านอาการอิสาร นั่งกินกับพื้น มีโต๊ะญี่ปุ่นให้ตัว เคยมานั่งกินกับน้องๆ ทีนึง มันถามผมว่า "พี่ ผมเลิกกับแฟน แล้วเค้ายืมตังผมไป ผมควรจะทวงคืนมั๊ยครับ" .. ท่าเรืออยู่ฝั่นธน ส่วนเชิงสะพานฝั่งพระนคร เป็นที่ชุมนุมของ นศ. คณะวิดวะ สถาบันเทคพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เค้าว่ากันว่ามีธรรมเนียมอยู่อย่าง เวลาเรียนจบต้องไปกะโดดแม่น้ำเจ้าพระยา ผมไม่ได้โดดกับเค้าหรอก คือว่ายน้ำไม่เป็นอะ ...

....หลังจากท่าพระราม 7 เรือธง จะวิ่งตรงไปยังท่าน้ำนนท์นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เรือวิ่งโดยไม่ค้องหยุดจอด ยาวนานที่สุด ในความรู้สึกของผม คงเพราะมันใกล้จะถึงที่หมาย เพราะเราไม่มีอะไรให้ต้องเหลือตกค้างในความทรงจำแล้ว หรือเวลาชิวิตจะถึงฝั่ง เราจะรู้สึกันแบบนี้นะ สองข้างทางช่วงนี้มึดมิดเป็นพิเศษ มีเสียงเรือ มีเสียงน้ำ มีแสงดาว แถมยังเป็นช่วงเวลาที่คนเหลือบนเรือน้อยที่สุดด้วย ในวันที่เราใกล้ถึงจุดหมาย คนข้างกายมันย่อมลดน้อยลงเช่นนั้นหรือ หรือชิวิตมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำไมมันดูแย่จัง ...

Wednesday, June 18, 2008

ไม่มีความหมาย อย่างนั้นเหรอ?

คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมายมั๊ย?
คุณเคยสงสัยมั๊ยทำไมคุณรู้สึกอย่างนั้น
เพราะคุณทำอะไรสักอย่างแล้วคาดหวังกับมัน
หรือคาดหวังว่าคนที่คุณทำอะไรให้เค้าจะตอบแทน
กลับมาด้วยสิ่งที่คุณต้องการใช่มั๊ย?
ไม่เอาน่า มันเป็นธรรมชาติของคนที่จะรู้สึกอย่างนั้น
คุณเคยลองพิจารณาสิ่งที่คุณทำมั๊ย
ว่าคุณมีความสุขตอนที่ได้ทำ หรือมีความสุขตอนที่ได้รับผลของการกระทำนั้น?
คุณเชื่อมั๊ยถ้ามีคนบอกคุณว่า เค้าทำอะไรโดยที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน
คุณว่ามันมีจริงมั๊ย?

เพราะคุณฝืน? เพราะคุณต้องการเอาชนะ?
หรือเปล่านะ ที่ทำให้ต้องคอยหาความหมายจากผลของการกระทำ
คนอ้วนที่พยายามลดน้ำหนักแล้วผลสุดท้ายน้ำหนักไม่ได้ลดลงตามคาด
คนที่ขยันทำงานมาตรงเวลากลับทีหลังเพื่อนแต่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง
คนที่พยายามทำตัวให้โดดเด่น แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้นำ
คนที่พยายามหาเงินแต่กลับต้องเอาไปให้คนอื่นใช้
คนที่พยายามโทรหาเพื่อนในวันเกิดเค้า แต่วันเกิดตัวเองกลับไม่มีคนแสดงความยินดี
ความพยายามเหล่านี้ ไม่ใช่ความหมายหรอกหรือ?

คุณลืมอะไรไปมั๊ย
ความหมายมันมีอยู่ตั้งแต่ตอนที่คุณทำมันแล้ว
ลองทำมันด้วยความสนุก อยากจะทำ และเต็มที่กับมัน
นั่นแหละมั๊งความหมาย บทสรุปมันคงเป็นกำไร
ถ้าไม่ได้กำไร คุณก็คงไม่ขาดทุนหรอกมั๊ง หรือเปล่านะ?

ทำไมใครๆ ก็ถามหาแต่ความหมาย เพื่ออะไรกันนะ
ทำมันทำไมนะ ถ้ามันไม่เคยมีความหมายอะไรเลย ..?

Thursday, June 12, 2008

เพลงประจำ "ที่เรียน"

msn เป็นไรหว่า online ไม่ค่อยได้เลยแฮะ หรือ account ข้าพเจ้ามันต๊อง -_-"...
ช่างมัน... วันนี้นั่งรถเมล์ผ่านหน้าสถาบันอันเป็นที่รัก อยู่ดีๆ เพลงประจำถาบัน
ก็ก้องเข้ามาในหัว (ปัจจุบันเค้าเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยแล้วครับ)

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
ถิ่นของเราเลิศหรูพริ้งเพรา
มิเคยอับเฉา ถิ่นเราวิลัย
เด่นเหนือใครแมันนามนั้นไซร้ พระราชทาน ..

พาลไปนึกถึงเพลงประจำคณะ

พวกเราน้องพี่ ภาคภูมิฤดีรักกันที่สีเดียว
พี่ปองน้องเกี่ยว เราสีเลือดเดียวเกี่ยวใจสัมพันธ์
...

ย้อนกลับไปหน่อย เพลงสมัยเรียน ปวช, (อันนี้ก็เปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยแล้วเหมือนกันแฮะ)

สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล มิ่งพระภูวดล พระราชทานสมญานามให้
สีน้ำเงินเด่นงามอร่ามกลางใจ เกียรติคุณสม
นามยิ่งใหญ่ล่ำเลอค่าจะเทิดทูนบูชาไว้นิรันดร์

นานกว่านั้นคือตอนมัธยม

...
ม่วงขาว คือสัญลักษณ์และนาม
ม่วงงดงามคือความสามัคคี
ขาวบริสุจน์ดุจน้ำฟ้าไร้ราคี
...

จะว่าไปตอนเรียนประถมก็มีเพลงประจำโรงเรียนแฮะ

น้ำเงินขาวชาววัดจันทร์ประสิทธิ์
เราพร้อมจิต ในรักสมัครสมาน
สู้ขยัน มานะ ในการงาน
เพื่อนสนองคุณชาติ ศาส กษัตร์ไทย
..

เริ่มแก่ เรื่องเก่าๆ ชอบแว๊บ เข้ามา -_-"

Wednesday, June 11, 2008

เบื่อความเป็นไปของชิวิตทุกวันนี้จังเลยแฮะ

ไม่ได้พึ่งเป็น แต่เป็นมาพักใหญ่แล้ว
ไม่ได้คิดว่าต้องหาเงิน หรือยากรวย
แต่คิดว่าที่เป็นอยู่เหมือนไม่มีชิวิต
ทำงานเพื่ออะไรถ้าไร้ซึ่งชิวิต
คิดอย่างนี้ทีไร ก็มักจะมีคำถามกลับมา
แล้วชิวิตที่มึงคิดว่าควรจะเป็นมันเป็นยังๆไง วะ
ทุกครั้งก็ตอบว่า กูไม่รู้หว่ะ รู้แต่ว่าแบบนี้มันไม่ใช่
อยากจะนิยาม อยากจะค้นหา อยากจะให้ความหมายมันเหมือนกัน
มันอาจจะเพราะอยู่กับสิ่งที่มันรู้สึกไม่จริง
งานที่เป็น virtual ไม่ได้ออกมาเป็นสิ่งที่มองเห็น
ครั้งนึงถึงกับอยากจะไปเรียนสานตะกร้า แล้วไปนั่งสานตะกร้าขาย
อยากจะเปิดร้านกาแฟ อยากจะเปิดร้านหนังสือเล็กๆ
อยากทำอย่างอื่น ที่มันเกี่ยวข้อกับชิวิตจริงๆ
ไม่ใช่งานแบบนี้ที่วันๆ อ่านแต่ email
คุยงานผ่านหน้าต่างสี่เหลี่ยม
ฝันถึงผู้คนผ่านทางเจ้าหัวกลมๆ เหลืองๆ
ผมเป็นโรคจิตไหม ที่ชอบมองเข้าไปในตาของคนที่คุยด้วย
คิดถึงประกายนั้น นั่นแหละมั๊งประกายของชิวิต
ลึกล้ำ สดใส เป็นประกาย และสะท้อนสิ่งต่างๆ มากมาย
อาจจะดูเวอร์ แต่มันมองไปถึงประกายของดวงดาว จักรวาล
รำพึ่งรำพันไปงั้นแหละ พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานให้ทัน 9 โมงอยู่ดี
เวลาของชิวิต ก็น้อยลงทุกที คงต้องตัดสินใจ ทำอะไรสักอย่าง แล้วมั๊งเรา ....

Sunday, June 08, 2008

Tokyo Tower - Mom & Me, and sometimes Dad

มันอาจจะเป็นความบังเอิญที่ผมหยิบหนังแผ่นนี้มาดู ในช่วงเวลานี้...


ธรรมดาผมไม่ค่อยชอบดูหนังญี่ปุ่น หรือเกาหลี เพราะหนังส่วนใหญ่มันมักจะให้อารมณ์หดหู่เศร้าหมอง บทพูดที่ช้าเนิบนาบ หมดไปกับการทิ้งเวลา ก่อนที่จะมีคำพูดแต่ละคำ ทั้งเพลงประกอบที่สุดแสนจะเศร้าเหงา ผมเปิดดูไปสักพักโดยที่ไม่มี bias ข้อมูลใดๆ รู้อย่างเดียวว่าเป็นหนังที่ได้รับรางวัลมาเยอะ หลังจากดูไปสักพัก ก็หาข้อมูลปูพื้นหน่อย สนใจก็ ตาม link เลยครับ หนังบอกเล่าอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นชิวิตผ่านเปลี่ยนของของตัวละครเอก ซึ่งอาจจะไปโดนเข้ากับหลายๆ คน โดยเฉพาะลูกที่ต้องจากบ้านมาร่ำเรียนในเมืองหลวง ความสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก เพื่อน หรือแม้แต่คนรัก ที่ผ่านเข้ามาในชิวิตของตัวละครเอก แต่ก็ไม่เจาะลึกอะไรมากมายไปกว่า เรื่องของแม่และลูกชาย การต่อสู้กับความตาย ความเศร้าหมอง กำลังใจ และเรื่องธรรมดามากๆ ในชิวิตคนเรา ด้วยความธรรมดานี้กระมังที่ทำให้เกิดความพิเศษ "ช่วงเวลาของความสุขมันมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงบทเพลงแห่งความสุขที่เลือนลาง เหมือนระคังที่กลิ้งลงจากเขา" การตายมันอาจจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน ก่อนตายต่างหากคุณได้ทำอะไรที่อยากทำ ดูแลคนที่คุณอยากจะดูแล แล้วหรือยัง เมื่อคุณใกล้ตาย ปริมาณคนรอบข้างนั่นแหละจะบอกว่าชิวิตคุณมีค่าแค่ไหน ....

เคยถามตัวเองไหมว่า ...ระหว่างความฝัน กับคนที่รักเรา ... อะไรมีค่ามากกว่ากัน? - Tokyo Tower

Saturday, June 07, 2008

อยู่ดีๆ ก็คิดถึง แม่

ครั้งนึงสมัยเข้าเรียน ม 1 มันมีวันนึงในหนึ่งสัปดาร์ที่เราจะมีโอกาสได้ใส่ชุดกีฬาไปโรงเรียน ใกล้เปิดเทอมแล้ว ผมยังหากางเกงวอร์มของโรงเรียนไม่ได้ กางเกงสีน้ำเงินเข้มมีแถบม่วงขาว ซึ่งเป็นสีประจำโรงเรียน เป็นเรื่องกลุ้มใจของเด็กอย่างผมมาก ร้านขายอุปกรณ์กีฬาไหนๆ ก็ยังไม่มีของมา ของคงขาดตลาด แต่แม่ก็ยังหากางวอร์มสีดำมาให้ผมใส่ไปก่อน ผมจำได้ว่าตอนที่แม่ยื่นกางเกงให้ผม ผมโกรธแม่มาก เพราะสีดำมันไม่ใช่อย่างที่ผมต้องการ ทั้งๆ ที่แม่บอกว่าแม่ถามอาจารย์มาแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เชื่อแม่ ยังดื้อดึงจะให้แม่เอาไปเปลี่ยนให้ผมให้ได้ แต่ร้านมันก็ไม่มี จำได้ว่าวันนั้นผมไม่ยอมใส่กางเกงตัวนั้นไป เพราะกลัวจะไม่เหมือนเพื่อนๆ แม่ครับ ผมไม่ได้บอกแม่ใช่ไหมครับ ว่าวันนั้นมีผมใส่ชุดนักเรียนไปกับเพื่อนอีกไม่กี่คน ส่วนใหญ่เค้าก็ใส่กางเกงวอร์มาสีดำอย่างที่แม่ซื้อมานั่นแหละ มีไม่กี่คนหรอกที่หากางเกงวอร์มแบบที่เป็นของโรงเรียนมาได้ แต่พอตอนกลับสิ่งที่เห็นคือแม่เอาไปเปลี่ยนเป็นกางเกงแบบของโรงเรียนให้แล้ว ผมรู้นะว่าแม่ซี้กับร้านขายเครื่องกีฬา ไม่สิ แม่ซี้กับคนทั้งตลาด มันทำให้ผมได้รับความเอ็นดูจากแทบทุกคน ตอนนั้นผมสงสัยว่าทำไมแม่เป็นคนยอมคนอื่นขนาดนั้น แม่ดีกับทุกๆ คน ทำให้ทุกๆ คน ดีกับแม่ แล้วเค้าก๊ดีกับผมไปด้วย แม่ครับ ไอ้เด็กลูกแม่ค้าขายผักคนนั้นมันโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะครับ มันลดความเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ไปได้บ้างแล้ว มันโตขึ้นมาก และผ่านเรื่องอะไรๆ มาเยอะ แต่วันนี้ไม่รู้เป็นไรครับ อยู่ดีๆ เรื่องๆ นี้มันก็สะกิดใจผมขึ้นมา ผมเคยบอกแม่ว่าผมรักแม่หรือเปล่านะ ผมน่าจะบอกแม่นะ การที่แม่หายไปจากชิวิตผมในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ มันกลายเป็นโอกาสที่ทำให้ผมต้องทำอะไรด้วยตัวเองหลายๆ อย่าง ผมดูแลตัวเองได้มาตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรีแล้วครับ ผมไม่ค่อยพูดถึงเรื่องแม่ของผมให้ใครฟังเท่าไหร่ เพราะผมนึกถึงแม่ทีไร ผมก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ แม่อาจจะมองว่าผมขี้แยเป็นเด็กๆ แต่ตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยร้องไห้นะแม่ ผมเป็นพวกดื้อเงียบ แม่ครับ ไอ้เด็กดื้อเงียบคนนั้นจริงๆ ในใจมันอ่อนไหวเอาการเลยแหละ ผมเขียนถึงคนอื่นมากมาย วันนี้ผมอยากเขียนถึงแม่ของผมบ้าง แม่อย่าว่าผมนะ ไม่รู้เป็นไร อยู่ดีๆ แม่ก็แว๊บเข้ามาในใจผม แล้วผมก็ขี้แยอีกแล้ว แต่จริงๆ ผมสบายดีครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกชายคนนี้เอาตัวรอดได้ แน่นอน ...

Friday, June 06, 2008

ชิวิตเกิดการเรียนรู้ได้เสมอ

ชิวิตเกิดการเรียนรู้ได้เสมอ ไม่ว่าจะหลับฝันหรือลืมตาตื่น ไม่ว่าจะอยู่ในโลกแห่งความจริงหรือความฝัน ฉันได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง อย่างเช่น
- ความฝันเป็นสิ่งสวยงามเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ฉะนั้นอย่าลืมว่า เราฝันกันได้
- ความเป็นจริงอาจจะไม่เหมือนความฝัน และส่วนใหญ่มันจะแตกต่างเสียด้วย ดังนั้นเวลาที่ฝัน ต้องเผื่อความผิดหวังไว้บ้าง
- ความแตกต่างจะเกิดขึ้นทันที ที่มีการเปรียบเทียบ
- ใจคนอื่นเราไม่มีทางรู้ได้ ถึงแม้ปากจะบอกว่าเข้าใจ แต่มันเป็นเพียงเข้าใจในมุมมองของเรา ซึ่งอาจจะไม่ถูก หรือไม่ใกล้เคียงกับที่เค้าคิดก็ได้
- อะไรก็ตามถ้าเราไม่ลงมือทำเสียแต่ตอนนี้ อย่าไปหวังว่าวันรุ่งขึ้นมันจะสำเร็จของมันเอง
- ปา-ติ-หาน ไม่เคยมีบนโลกใบนี้
- ไม่มีงานที่ไหนที่ทำไปนานๆ แล้วไม่เบื่อ
- ไม่มีใครไม่มีความทุกข์
- ความสุขบางครั้งก็ไม่ได้ห่างไกล ไม่ได้หลบซ่อน เพียงแต่เรามองเห็นมันหรือเปล่า
- หนังสือ/หนัง/เพลง อินกับมันซะบ้าง ถีงมันจะประโลมโลก มันก็เป็นเครื่องมือในการสร้างฝันที่ดี
- ทุกครั้งที่เราหายใจ เราแก่ลง
- ยิ้มซะบ้าง แม้จะมีผลต่อความเหี่ยวย่นบนใบหน้า แต่มันก็ทำให้จิตใจแจ่มใส
- มีอะไรจะบอกใคร ก็บอกเค้าไปเถอะ พรุ่งนี้มันอาจจะไม่มีเราหรือเค้าแล้วก็ได้
- ความผิดหวังไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ความกลัวต่างหาก ที่เราต้องขจัดมันทิ้ง
- เวลานอนไม่หลับก็ไม่ต้องฝืน ถ้ามันนอนไม่กลับ นอนยังไงมันก็ไม่หลับ -_-"
- เมื่อไหร่ที่ทำงานแล้วรู้สึกว่าไม่มีความสุข งานแบบนั้นเราทำมันไม่ได้นานแน่
- อยากรู้อะไรก็ถาม ถึงไม่มีคำตอบ แต่เค้าก็รู้แหละ ว่าเราอยากรู้ วันนึงเค้าก็คงบอกเราเอง
- วันนึงมี 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน
- เวลาฝันไม่ต้องรีบตื่น ใช้เวลากับมันให้เต็มที่
- เวลาตื่นไม่ต้องเก็บไอ้ที่ฝันมาคิดหาคำตอบ ก็รู้อยู่แล้วหนิ ว่ามันคือความฝัน
- เวลาง่วงก็ไปนอนได้แล้ว มานั่งพิมพ์อะไรอยู่ได้ ไปนอนไป...

Sunday, June 01, 2008

[ส่วนตัวถึงคนๆ เดียว] ขอชี้แจงหน่อยนะ

เออ คือว่าเป็นข้อความส่วนตัวส่งถึงใครคนนึงหน่ะครับ คือผมก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะได้อ่านมันหรือเปล่านะ ถ้าคุณใครคนไหนได้โผล่มาอ่าน blog ของผมแล้วคิดว่าข้อความนี้ไม่ใช่ของคุณก็ข้ามๆ ไปเถอะครับ ถึงมันจะเป็น public แต่ผมก็ไม่ได้แจ้งให้ใครทราบหรอกว่าผมเขียน blogไว้กับเค้าเหมือนกัน พอดีเคยส่ง mail ไปแล้วเธอได้อ่านช้ามาก วันนึงเธออาจจะผ่านมาเจอข้อความนี้ ผมฝากถึงคุณนะ ว่าเรื่องที่ผมไปชอบคุณหน่ะ ผมไม่ได้ไปบอกใครว่าผมชอบใคร ถ้ามีใครไปถามคุณว่าคนที่ผมชอบคือคุณหรือเปล่า อันนี้แล้วแต่คุณจะตอบนะ เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่ออาทิตย์ก่อนมีน้องคนนึงส่งรูปมาให้ แล้วถามผมว่าแบบนี้ผมสนใจหรือเปล่า ผมบอกเธอไปว่า ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เธอเลยพยามเดาว่าผมชอบใคร แล้วเธอก็เดาว่าเป็นคุณ แล้วถามผมว่าใช่หรือเปล่า ผมไม่ได้ตอบเธอไปหรอกนะ เพียงแต่ถามถึงเหตุผลของการเดา แล้วก็ให้ข้อมูลว่ามันเป็นไปได้เยอะแยะว่าจะเป็นใครก็ได้ จนเธอเปลี่ยนความเป็นไปได้จากคุณไป แต่เธอก็พยายามจะไปสอบถามจากคนอื่นๆ ผมเลยบอกเธอไปว่า รู้ไหมว่าเรื่องบางเรื่อง ถ้าเพื่อนคนนึงเค้าคุยกับเราไม่ได้หมายความว่าเราต้องเอาไปคุยกับคนอื่นต่อ ถึงแม้เค้าจะไม่ได้บอกว่าอย่าไปบอกใครนะ แต่ด้วยธรรมชาติของผม เรื่องบางเรื่องมันเรื่องของคนสองคน คือระหว่างเรากับคนที่เราคุยด้วย เราไม่ควรจะไปบอกเล่าต่อ เธอเหมือนจะรู้สึกผิดแล้วมันก็เงียบไป จนวันนี้เธอมาบอกผมว่าเธอไปถามคุณ ผมกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิดว่าผมเที่ยวไปบอกคนโน้นคนนี้ว่าผมชอบคุณ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ ถึงเรื่องผมชอบคุณมันจะเป็นเรื่องจริง แต่ผมก็ไม่สมควรเอาไปบอกใครต่อใครว่าผมชอบใคร เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับคุณ ไม่จำเป็นต้องมีใครมาช่วยสำหรับเรื่องแบบนี้ (ในความคิดผมนะ) ถ้ามันจะดีจะแย่ ก็ให้เป็นความทรงจำของผมและคุณ เพราะเรื่องบางเรื่องเหตุผลบางอย่างเราเท่านั้นที่จะรู้ ยิ่งเรื่องแบบนี้ คำตอบสำหรับแต่ละคนมันไม่เหมือนกันด้วย ถึงแม้คนถูกถามจะเป็นคนๆ เดียวกันก็เถอะ และคำตอบมันก็ควรต้องออกมาจากคนถูกถาม โดยไม่ได้มีการชี้นำจากคนรอบข้างแต่อย่างใด ชิวิตคุณทางเลือกของคุณ คุณคงต้องเลือกเอง และแน่นอนผมยังยืนยันเหมือนเดิมว่า ไม่ต้องสนใจว่าผมจะรู้สึกยังไง จงเลือกอย่างที่คุณต้องการ และดีสำหรับคุณ โดยความคิดของคุณ อย่าทำร้ายใครหรือกระทั่งตัวเองเพียงเพราะความสงสาร คุณต้องเชื่อมั่นทั้งตัวคุณเองและบุคคลอื่น ซึ่งความจริงคือสิ่งที่เราต้องยอมรับกันทุกคนอยู่แล้ว ^_^

ปล. พอมาถึงตรงนี้ชักสงสัยว่าตูคิดมากไปหรือเปล่าวะ แต่ไม่เป็นไร คิดยังไง รู้สึกยังไง ผมก็ขอบอกคุณละกัน เพราะในความคิดผมมันดูค่อนข้างละเอียดอ่อน

Saturday, May 31, 2008

ฉันฝัน

ฉันติดอยู่ในโลกแห่งฝัน
เป็นโลกที่ฉันไม่อยากลืมตาตื่น
ฉันฝันเรื่องเดิมๆ ทุกวันคืน
แต่ก็ยังต้องฝืนใช้ชิวิตในห้วงวัน

ฉันฝันถึงโลกที่ไรความสับสน
ฉันฝันถึงคนที่เฝ้าคิดถึง
ฉันฝันโดยไม่คิดคำนึง
ไม่เคยนึกถึงความเป็นจริงที่ฉันเจอ

ฉันฝันเรื่อยเปลื่อยแต่ก็มีจุดหมาย
ฉันฝันถึงความเป็นไปที่ไรเหตุผล
ฉันฝัน ฝัน ฝัน เสีย จน
ฉันสับสนว่านี่มันฝันหรือเรื่องจริง

วันนึงเธอบอกให้ฉันลืมตาตื่น
ให้ฉันฟื้นจากความฝันอันแสนหวาน
ให้ฉันเจอความจริง ของเมื่อวาน
ให้ฉันเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเป็นไป

เธอบอกว่าชิวิตนั้นแสนสั้น
ทำไมเอาแต่ ฝัน ฝัน แล้วก็ฝัน
ถามฉันว่าเมื่อไหร่ฉันจะทำมัน
อย่าเอาแต่ฝัน ลงมือทำซะบ้างซี

ฉันคงเบื่อหรือเหนื่อยฉันไม่อยากเถียง
ฉันแค่เพียงเหนื่อล้า แต่ไม่ท้อถอย
ฉันไม่ได้เอาแต่ฝันอย่างเรื่อยเปลื่อยหรือเลื่อนลอย
แต่ฉันคอยให้ประกายฝันนั้นนำพา

เธอยิ้มเธอมองแล้วหัวเราะ
อาจจะเพราะเธอขำฉันหนักหนา
หรือเพราะเธอคิดและเริ่มเมตตา
ฉันนำพาความคิดเธอได้แล้ว หรืออย่างไร

เธอบอกว่าฉันไม่ได้เถียง
ฉันเป็นเพียงคนที่ต้องมีเหตุผล
บางครั้งมันก็มากมายเสียจน
เกินเหตุผลที่คนทั่วไปเค้าคิดกัน

เธอบอกท้ายที่สุดมันก็ตัวฉัน
จะฝันจะตื่น มันก็เรื่องของฉัน
แล้วเธอมาบอกเล่าทำไมกัน
เพราะฉัน และ เธอ เราเพือนกัน

ฉันและเธอ เราเพื่อนกัน ....

Friday, May 30, 2008

ผู้โดยสารชายคนเดียวในรถตู้

นี่ไม่ได้เล่าด้วยความภูมิใจอะไรหรอกน่ะครับ แต่วันนี้ผมเป็นผู้โดยสายชายคนเดียวในรถตู้คันนั้นจริงๆ ถ้ารวมคนขับผมก็นั่งรถตู้มาพร้อมกับผู้หญิงอีก 10 คน มันคงไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ ถ้ารถตู้เจ้ากรรมมันดันเสีย โอ้วแม่เจ้า รถตู้เสียพร้อมชายสองคนและหญิงอีก 10 คน คนขับพยายามสตาร์ทหลายทีก็ไม่ติด ผมดูแล้วสงสัยต้องรอคันหลังมารับ แต่ระยะที่รถตู้มันวิ่งมาก็ห่างจากท่ารถราวๆ 100 เมตรได้ คนขับหันมาบอกพวกเราว่าให้ลงไปรอที่ฟุตบาต แล้วเค้าจะไปวิ่งไปตามรถคันใหม่มาให้ แต่ปัญหาที่เกิดคือรถตู้มันจอดขวางถนนอยู่ต้องเข็นมันออกไปให้พ้นทาง คนขับเลยตะโกนบอกว่า ขอแรงผู้ชายมาช่วยเข็นรถด้วยครับ เหอะๆ นั่นไงหล่ะ ปัญหาของการเป็นผู้โดยสารชายคนเดียวในรถตู้คันนั้น คนขับต้องบังคับพวกมาลัย ส่วนผมเข็น นึกดูเอาหนุ่มหน้ามลสะพายเป้รูปร่างสะโอดสะอง พยายามเข็นรถตู้ให้มันพ้นทาง ท่ามกลางการจราจรคับคั่งบริเวณแยกลาดพร้าว ฝนปลอยๆ อีกต่างหาก ดูไม่จืดจริงๆ ...

Fix You - Radiohead

When you try your best but you don't succeed
- เมื่อคุณทำดีที่สุดแล้วแต่ก็ยังไม่สำเร็จ
When you get what you want but not what you need
- เมื่อสิ่งที่คุณได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ
When you feel so tired but you can't sleep
- เมื่อรู้รู้สึกเหนื่อยล้าแต่กลับไม่สามารถจะนอนหลับได้
Stuck in reverse
- ทุกสิ่งมันตรงกันข้ามกันไปหมด

And the tears come streaming down your face
- และน้ำตาก็ไหลออกมาเปื้อนใบหน้า
When you lose something you cannot replace
- เมื่อคุณสูญเสียบางอย่าง และไม่มีสิ่งไหนทดแทนมันได้
When you love someone but it goes to waste
- เมื่อคุณรักใครสักคนแต่ท้ายที่สุดมันก็สูญเปล่า
COULD IT BE WORSE?
- มันไม่มีค่าอะไรเลยเหรอ?

Lights will guide you home
- แสดงสว่างจะนำทางคุณกลับบ้าน
And ignite your bones
- และเผาไหม้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นไป
And I will try to fix you
- และฉันจะลองช่วยคุณ

And high up above or down below
- ไม่ว่ามันจะดีขึ้น หรือแย่ลง
When you're too in love to let it go
- เมื่อคุณมีความรักมากๆ คุณต้องปล่อยมันไป
But if you never try you'll never know
- แต่ถ้าคุณไม่เคยลอง คุณก็จะไม่มีวันรู้
Just what you're worth
- กระทั่งคุณค่าที่แท้จริงของตัวคุณเอง

...

Tuesday, May 27, 2008

ความเศร้า บางครั้งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา

ผมไม่ได้ดูถูกความเศร้านะครับ เรื่องธรรมดาก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องไร้สาระแต่อย่างใด แต่ที่ผมบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา คือมันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ปกติกับทุกคน ไม่ว่าจะมีจะจนจะรวยล้นฟ้า มันก็ต้องมีเรื่องให้เศร้าโศกกันทุกคน และทุกคนเมื่อมีสติถือครอง คือสามารถรับรู้เห็นและพิจารณาสิ่งรอบข้างได้ ก็ไม่เว้นต้องได้มีโอกาสพิจารณาความเศร้ากันบ้างแหละ วันนี้ได้ทราบข่าวจากเธอคนนึงว่า แมว ของเธอถูกหมากัดอาการสาหัส อารมณ์แรกคือเห้ย มันแย่จังเลยวะ เพราะเธอเองเฝ้าฝันถึงวันที่จะพามันมาเลี้ยงอยู่ด้วย คือแมวมันอยู่ที่บ้าน และเธอเองอยู่ที่หอพัก เธอมีแผนว่าวันนึงเธอจะนำมันมาอยู่ด้วย มันคือความฝัน ถ้าเราฝัน แล้วมีไอ้บ้าที่ไหนเดินมาบอกเราว่า เลิกฝันเถอะ มันเป็นไปไม่ได้ คุณเซ็งมั๊ยครับ แล้วถ้าคุณฝัน แล้วมาเจอเรื่องแบบนี้ ผมคงไม่ต้องถามว่ามันจะเศร้าแค่ไหน เพราะคุณคงนึกไม่ออก แม้แต่ผมเองก็เถอะ ผมเป็นประเภทปลอบใจคนไม่เก่งด้วย แต่ผมเชื่อว่าบางครั้งเราต้องยอมให้เวลามันเยียวยาเรื่องพวกนี้ ผมอยากให้เธอเศร้ากับมันให้เต็มที่ ในเวลาแบบนี้ไม่ต้องคิดถึงพรุ่งนี้หรืออาทิตย์หน้า จงร้องไห้จงเสียใจ จงอยู่กับสิ่งเหล่านี จงซึมซับมันให้เต็มที่ ใช้เสี้ยวเวลานี้ปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหลาย และปล่อยให้เวลามันค่อยๆ เจือจางความรู้สึกเราไป ตามเงื่อนไขของเวลา ถ้าคุณร้องไห้ และหาคนที่ปลอบให้คุณหยุดคนนั้นอาจจะไม่ใช่ผม แต่ถ้าคุณต้องการคนที่ร้องไห้เป็นเพื่อนคุณ ผมคงจะเป็นคนลักษณะนั้นมากกว่า (ดูเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องเลยแฮะ :P )

ครั้งนึงผมเคยพาเพื่อนไปซื้อสุนัข คือเพื่อนผมคนนี้อยากเลี้ยงสุนัขครับ แต่ที่บ้านเค้าไม่ค่อยอยากให้เลี้ยง แต่ผมเองอยากให้เธอได้เลี้ยงเหมือนกัน เพราะโดยส่วนตัวของผมรู้สึกว่าคนที่เลี้ยงสัตว์หรือปลูกต้นไม้ จะเป็นคนจิตใจละเอียดอ่อน นึกง่ายๆ คือถ้าคุณมีอะไรให้ดูแลมันจะทำให้คุณดูแลเรื่องอื่นๆ ได้ดีขึ้น แม้แต่ดูแลตัวเอง มันจะทำให้คุณเป็นคนใจเย็น ผมรู้สึกไปเองนะครับ อย่าเชื่อผมมาก 55 แต่ความเชื่อแค่นั้นมันก็ทำให้ผม ผลักดันให้เธอไปหามันมาเลี้ยงแล้วแหละครับ จำได้ว่าผมย้ำกับเธอหลายครั้ง ว่ารู้นะว่าสุนัขมันอายุสั้นกว่าเรา และการเลี้ยงมัน คุณจะผูกพันกับมัน แน่ใจนะว่าวันนึงมันต้องจากคุณไปแล้วคุณจะทำใจได้ จำได้ว่าเค้าบอกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา เค้ารู้อยู่แล้ว ผมคงคิดมากไป -_-" ภายหลังได้ข่าวว่ามันเป็นสุนัขประจำครอบไปแล้ว ดีเหมือนกันแฮะ ถึงใครโดนไหว้วานให้ดูแลมันเวลาอีกคนไม่อยู่ ถึงจะบ่น แต่ก็ดูแลมันเป็นอย่างดี ไม่น่าเชื่อว่าสุนัขตัวนึงมันจะส่งเสริมความสัมพันธ์ของครอบครัวได้ดีเหมือนกันแฮะ มันคงมีความสุขไปแล้วแหละ เจ้าสุนัขตัวนั้นหน่ะ ฉันไม่ได้อิจฉาแกหรอกนะ หุหุ

ผมรู้อย่างเดียวว่ามันเศร้านะ แต่ผมนึกไม่ออกถึงปริมาณของมัน มันคงมากที่สุดสำหรับคุณในช่วงนี้เลยแหละ ผมยังเป็นเกำลังใจให้เสมอนะ ขอให้คุณผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ในเวลาที่เหมาะสม มันจะนานแค่ไหน คุณเท่านั้นแหละที่จะรู้ บางสิ่งก็ถูกส่งให้มาอยู่กับเราในระยะเวลาสั้นๆ บางอย่างก็เหมือนส่งมาทดสอบจิตใจเรา โดยปกติ เราจะเข้มแข็งขึ้นเสมอเมื่อเรื่องร้ายๆ ผ่านไป...

Monday, May 26, 2008

แบสัมผัสได้ทุกสิ่ง

"ถ้าเรากำมือไว้ เราก็สัมผัสได้เฉพาะอากาศที่อยู่ในอุ้งมือของเราเท่านั้น แต่ถ้าเราลองแบ เราจะสามารถสัมผัสอากาศได้ทั้งโลก" เค้าบอกว่าเอามาจากกภาพยนต์จีนเรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon เค้าแนะนำผมแค่นี้ แต่มันดูยิ่งใหญ่จังฟะ 55

ROLLBACK - กลับสู่จุดเดิม

หนึ่งในกระบวนการทำงานโดยเฉพาะการ upgrade ระบบที่กำลังทำงานอยู่ ไปอีกระบบนึง จุดมุ่งหมายๆ อาจจะเพื่อให้การทำงานดีขึ้น หรือจำเป็นต้อง upgrade เพื่อใช้ function แปลกใหม่ที่ระบบเดิมไม่รองรับ อาจจะเป็นระบบที่ทำงานมานาน จนเก่า เมื่อมีอะไรใหม่ๆมาเชื่อต่อ การเชื่อต่อใหม่กับเก่าก็อาจจะสร้างปัญหา โดยเนื้องแท้ของการพัฒนาผู้พัฒนามักจะพัฒนาให้รองรับระบบเก่าให้ได้มากที่สุด แต่ก็เป็นการสิ้นเปลืองคนและเวลาพอสมควรอีกทั้งเรื่องของความเข้ากันได้แบบสมบูรณ์ซึ้งเป็นเรื่องยากลำบากเอาการ ดังนั้นการเลือกที่จะ upgrade หรือ migrate ของเดิมเพื่อให้เป็นของใหม่ ก็เป็นทางเลือกที่ดี
ในการวางแผนเพื่อนการ migrate ระบบสิ่งนึงที่ต้องอยู่ในแผนคือ แผนการนำมันกลับมาสู่การทำงานแบบเดิมให้ได้ เรียกกันว่า ROLLBACK หมายความว่าถ้าเราไม่สามารถที่จะทำให้มันทำงานกับระบบใหม่ได้ เราก็ต้องนำมันกลับมาเพื่อให้ใช้งานได้เหมือนเดิม ตามธรรมชาติของผม ผมไม่ค่อยคิดถึงเรื่อง ROLLBACK เมื่อทำอะไรแล้วมันต้องทำให้สำเร็จ นั่นคือชิวิตวัยรุ่น ไม่มีแผนว่าทำไม่ได้แล้วจะทำไง ใช้ของเดิม? มั๊ย ผมเคยยอมให้ตัวเองอยูในสภาพบีบคั้นจากการฝืนลักษณะนี้ มาหลายครั้ง สิ่งผมได้ก็คือ ระบบใหม่ที่ขึ้นมาพร้อมกับความไม่มั่นใจของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงแม้มันจะทำงานได้ดี แต่ความสั่นคลอนในช่วง migrate มันทำให้คนที่เกี่ยวข้องขาดความมั่นใจ ถึงระบบนิ่งดีแล้ว แต่ก็ต้องทิ้งระยะนานพอสมควรเพื่อให้ความมั่นใจกลับคืนมา
เรื่องของเรื่องผมพึ่งจะทำงาน ROLLBACK ระบบไป หลังจากผ่านกระบวนการนี้สิ่งที่ติดค้างให้ความคิดของผมคือ เห้ย เราทำมันไม่ได้เหรอวะ ถ้ามีเวลาอีกสักหน่อย เราจะทำมันได้หรือเปล่าวะ มันวนเวียนในหัวผมตลอดเวลา ว่าอะไรเป็นสาเหตุของระบบที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างที่หวัง ขนาดหลับตายังฝันถึง มันไปใกล้ความสำเร็จมาก แทบชะเง้อคอเห็น แต่สุดท้ายผมก็ต้องเดินกลับมายืนอยู่ที่เดิม บางครั้งชิวิตมันก็ต้องมีการ ROLLBACK เหมือนกัน บางครั้งเมื่อเดินอย่างไรก็คลำหาปลายทางไม่เจอ เมื่อถึงจุดนึงคุณอาจจะต้องตัดสินใจ ROLLBACK เพื่อกลับมาทบทวนกระบวนการอีกครั้ง ทบทวนทุกขั้นตอน ความผิดพลาดทั้งหมด ถึงตอนนั้นคุณจะได้ตระหนักว่า อะไรคือสาเหตุของความผิดพลาดนั้น สำหรับการ migrate ครั้งต่อไป มันก็อาจจะทำให้คุณสามารถ upgrade ระบบใหม่ได้ การ migrate ที่ไม่สมบูรณ์มันสร้างความไม่มั่นใจให้คนที่ใช้ระบบ แต่การ ROLLBACK มันก็สร้างความไม่มั่นใจให้คนดูแลระบบเช่นเดียวกัน อย่าลืมว่าการ rollback มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในชิวิตเราเสมอ ถึงคุณจะรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิมหลังจาก rollback กลับมาก็เถอะ แต่สิ่งที่คุณได้คือคุณได้ลิ้มลองประสบการณ์ของการ migrate ไปแล้ว คุณได้ลองระบบใหม่กับสภาพการใช้งานที่แท้จริง ได้เห็นทุกกลไกการทำงานของมัน บางครั้งมันก็แตกต่างจากการทำงานในสภาพแวดล้อมของการทดสอบโดยสิ้นเชิง ...

Saturday, May 24, 2008

เปลี่ยนตัวเอง

ฉันได้มีโอกาสคุยกับคนที่จะเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดี ฉันลองมาคิดถึงตัวฉันเอง ว่าฉันเคยเปลี่ยนตัวเองไหมนะ หรือฉันเคยมีตัวเองหรือเปล่า การรู้สึกว่าจะเปลี่ยนตัวเองมันมีปัจจัยจากอะไรกัน ฉันคิดว่าเมื่อไหร่ที่เราจะเปลี่ยนตัวเองคงมาจาก 2 สาเหตุหลัก หนึ่งคือรู้สึกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่มันแย่ สองก็คงเพราะที่คนอื่นเป็นมันดี เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าะไรบางอย่างในตัวเรามันแย่ เราก็ต้องอยากเปลี่ยนอยากเลิกทำพฤติกรรมเหล่านั้น เผื่อว่ามันจะดี ฉันลองมองตัวฉันเองแล้วฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยเหตุผลนี้เยอะมาก แต่ปัญหาของฉันคือ มันไม่เคยมีใครมาบอกว่าฉันไม่ดีหรอก แต่ฉันแค่รู้สึกว่าทำไปแล้วมันไม่ดี ฉันก็เลยตัดสินใจไม่ทำมัน แต่บ่อยครั้งด้วยความเป็นตัวเอง ฉันก็ยังเผลอหรือหลุดมันออกมาเหมือนกัน สรุปคือฉันไม่ได้เปลี่ยนตัวเอง หรือไม่ฉันก็เปลี่ยนมันไม่ได้ เพียงแต่ซ่อนมันไว้ให้มันอยู่ในขอบเขต ฉันเปลี่ยนตัวเองไม่ได้เช่นนั้นหรือ หรือไม่มีใครเปลี่ยนตัวเองได้กัน ไม่สิ ฉันเชื่อว่าใครก็ตามถ้าพร้อมด้วยความตั้งใจแล้วหล่ะก็เปลี่ยนได้แน่นอน ฉันก็ขอเป็นกำลังใจให้กับใครที่คิดจะเปลี่ยนตัวเองด้วยกรณีนี้ด้วยแล้วกันนะ แล้วกรณีที่คนอื่นดี แล้วเป็นแรงบันดาลใจให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองหล่ะ กรณีนี้ฉันไม่เคยเปลี่ยนแฮะ คงเพราะฉันมีอัตตาสูงเกินไปหล่ะมั๊ง ฉันโดนตำหนิมามากมายเกี่ยวกับการแต่งตัว แต่ฉันก็แทบจะไม่เคยทำให้มันดีขึ้นเลย เพราะอะไรหน่ะหรือ เพราะฉันรู้สึกว่ามันไม่ใช่ฉัน การแต่งตัวมันก็แค่กรอบบางๆ ที่ห่อหุ่มเราจากสายตาคนรอบข้าง ฉันเลือกตามความเหมาะสมมากกว่า ไม่ได้หมายความว่า ฉันจะแต่งตัวแย่ ทุกกรณีหรอกนะ (เพื่อนๆ ใช้คำว่าซกมก หรือไม่ก็เซอร์ ซอมซ่อ อะไรก็ตามแต่) ฉันเลือกแต่งตัวตามสบาย หรือเรียกง่ายๆ ก็คือฉันไม่ได้เลือกว่าจะแต่งตัวแบบไหนในเวลาปกติ ถ้าเธอจะบอกว่าสายตาคนรอบข้างมันสำคัญ ฉันเองก็เห็นด้วยอย่างเต็มที่ แต่ความรู้สึกของฉันหรือเธอ มันสำคัญกว่าสายตาคนเหล่านั้นมากมายนัก แต่เชื่อเถอะถ้ามันกระทบต่อความรู้สึกคนข้างๆ ฉัน ฉันแคร์อยู่แล้ว ฉันให้ความสำคัญกับคนที่อยู่กับฉันในเวลานั้นเสมอมา ดีแล้วของฉันมันอาจจะยังแย่อยู่ในสายตาคนมากมาย "คุณค่าจริงๆ ของตัวเรา มันอยู่ที่สิ่งที่เรานำไปเปรียบเทียบ" ฉันจำเค้ามาจากในเว็บหรอก หมายความว่าถ้าเราไปเปรียบเทียบกับคนที่แย่กว่า เราก็ดีหน่ะสิ ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น เราต้องเปรียบเทียบกับคนที่เรารู้สึกว่าดีกว่าสินะถึงจะถูก ถ้ามันจะช่วยพัฒนาตัวเราเองให้มันดี แต่ฉันก็ไม่เคยอยากเป็นเหมือนใคร แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงเพื่อคนที่ฉันรักฉันพร้อมจะทำมันเสมอ แม้นเค้าคนนั้นจะบอกฉันว่า "เป็นตัวคุณเองเถอะ อย่ามาเปลี่ยนแปลงอะไรเพราะฉัน" ฉันบอกได้เลย ว่าฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ....

อารมณ์กินเหล้า

คนกินเหล้าเค้ามีอารมณ์ไหนกันนะ บางคนเครียดกับงาน เห้ยกินเหล้ากัน บางคนมีปัญหาชิวิต เห้ยกินเหล้าเว้ย บางคนอกหัก ทะเลาะแฟน เห้ยกลุ้มกินเหล้า ปัญหาที่ว่ามาทั้งหมด ผมกลับกินเหล้าไม่ลงแฮะ เวลาที่สมองทำงานหนัก เวลาที่มีปัญหาแทรกแซงในความคิด เวลาที่มีปัญหาที่แก้ไม่ตกผมไม่มีอารมณ์จะกินเหล้า แต่ถ้าเป็นปัญหาของคนอื่น ผมไปกินเป็นเพื่อนได้ไม่ค่อยขัด :P แต่ถ้าปัญหาของตัวเองผมขออยู่เงียบๆ ตรึกตรองทบทวนความเป็นไปของสิ่งเหล่านั้นดีกว่า ผมไม่ใช่คนที่คิดไม่ตกแล้วจะทำร้ายตัวเองแน่นอน แต่บางคนบอกว่ากินเหล้าให้มันลืมๆ ไปบ้าง มันก็ลืมจริงๆ แต่ตื่นมาก็จำได้เหมือนเดิมแถมอาการปวดหัวมาอีก แล้วผมกินเหล้ากรณีไหน ก็กรณีอยากกิน บรรยากาศมันได้ การได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ความสนุกสนานที่เกิดขึ้น เวลาที่มีปัญหาผมอยากใช้เวลากับมัน สำรวจทุกความเป็นไปได้ถึงที่มาและสาเหตุ โดยที่สติสัปชัญญะครบถ้วน มันเป็นคนแบบนี้นี่เอง ที่ว่ามาทั้งหมด แค่จะบอกว่า วันนี้ไม่มีอารมณ์จะกินเหล้าจริงๆ เลยหว่ะเพื่อนๆ ขอโทษด้วย

Thursday, May 22, 2008

เพลงบางเพลง มันก็โดนซะจริงๆ 55

ไม่ได้พร่ำด้วยสำนวนตัวเองมาพักใหญ่แล้วแฮะ ไม่เนื้อเพลงก็วิจารณ์หนัง คราวนี้อีกเช่นกัน ช่วงนี้ีมีโอกาสพังเพลงหลายหลายแนวๆ แล้วก็หลากหลายศิลปินเหลือเกิน เพลงๆ ดีๆ ยังมีอีกเยอะ และด้วยความเยอะของปริมาณเพลงที่ออกมาให้ฟังกันมันยิ่งที่ให้เพลงดีๆ มีเยอะขึ้นไปอีก แม้เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนเราอาจจะรู้สึกว่ามันน้อยเมื่อเทียบกับความเกล่อของเพลงที่ทำกันออกมา และด้วยความง่ายในการนำเสนอผ่านสื่อ internet ทำให้เราก็พลอยได้โอกาสฟังเพลงหลายๆ แนวไปในตัว เพลงนี้ฟังแล้วรู้สึดว่าโดน ก็เท่านั้น :D ถ้าเพลงก่อนหน้าของกรูำฟไรเดอร์ บอกว่า "รักไม่ได้" เพลงนี้ของเพลงกราวด์ ก็อีกอารมณ์นึงคือรักไปแล้ว ผมว่าสองเพลงนี้ให้อารมณ์คล้ายๆ กันนะขณะที่คนนึงพยายามจะบอกตัวเองว่า อย่าพึ่งรักนะเฟ้ย ถึงจะชอบจะรู้สึกว่าใกล้เคียงแค่ไหน อย่าพึงไปรักหล่ะ อีกคนกลับบอกว่า รักไปแล้วนะ ถ้าจะมองว่าไรสาระ ฉันก็รักเธอแหละน่า...

-- เพลง ไร้สาระ - เพลย์กราวด์ (Playground) --

แม้นานเท่าไหร่
ก็จะขอรอเธอ..

ไม่เปนไรจริงๆ
ถ้าเธอยังไม่พร้อม
ไม่พร้อมรับความรู้สึกของฉันตอนนี้

ก็เข้าใจเธอดี
ว่าเรื่องแบบนี้
เราต่างก็มีเหตุผลส่วนตัวใช่ไหม

*แต่ฉันยืนยันจะคอยต่อไป
ในเมื่อความรักของฉันยังคงหมุนรอบเธอทุกวินาทีแบบนี้
(ก็เพราะความรักฉันไม่เคยหยุดหมุน รอบเธอซักวินาทีแบบนี้)
จะให้ฉันฉันทำอย่างไร

**ฉันรู้ว่ามันอาจฟังดูไม่มีเหตุผล
ที่ฉันยังรั้งแอบหวัง ให้เรารักกัน
และชีวิตของฉันคนนี้ มารบกวนใจ
ก็โปรดคิดว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระเรื่องหนึ่งได้ไหม

แค่คนธรรมดา ที่มันมีความรัก
และอยากให้คนที่เขาหลงรัก..ได้รู้
อาจจะดูกวนใจ ที่แสดงให้รู้
สุดท้ายเมื่อเธอจะรังเกียจกัน..แค่ไหน

ซ้ำ (*),(**)

อาจจะไม่มีวันนั้นจริง
ไม่มีวันที่ได้เธอมา
แต่ขอ..รอ...รอเธอเสมอ..ไป...

ซ้ำ (**)

ฉันรู้ว่ามันอาจฟังดูไม่มีเหตุผล
ที่ฉันยังรั้งแอบหวัง ให้เรารักกัน
แต่ความจริงก็ยังคงหวังลึกๆในใจ
ว่าเธอคงไม่มองมันเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ ใช่ไหม...........

เพลง รักไม่ได้ - Groove Riders

เพลงนี้แปลกดีแฮะ ทำไมถึงรักไม่ได้หล่ะ?
--
ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงไม่ลืมเธอ
มีเธอในใจฉันเสมอไม่เข้าใจ
อยากกอดเธอเอาไว้ สักเท่าไร
แต่หัวใจ ฉันก็รู้ดี จูบเธอได้ในฝัน
เท่านี้ แค่นี้ เพียงแค่นั้นในใจ

*รักไม่ได้บอกกับตัวเอง หัวใจตัวเอง
ต้องห้ามตัวเอง บอกมันอย่าหวั่นไหว
รักเขาไม่ได้ เขาดียังไง
ชอบเขาเท่าไหร่ก็ ต้องหยุดไว้เอง

เป็นบททดสอบของเบื้องบน
ให้ค้นหาหัวใจ ส่งมาให้ตัวฉันข้ามไป
อยากจะลองใจฉันหรือเปล่า
จะได้รู้ว่ารักหรือแค่เหงา ให้เห็นเงา
สะท้อนหัวใจ เก็บเธอไว้แค่ฝัน
ได้ไหม เพราะหัวใจฉันกระซิบว่า
(ซ้ำ*)

รักไม่ได้บอกกับตัวเอง หัวใจตัวเอง
ต้องห้ามตัวเอง บอกมันอย่าหวั่นไหว
รักเขาไม่ได้ เขาดียังไง
ชอบเขาเท่าไหร่ก็ รักไม่ได้

บอกกับตัวเอง หัวใจตัวเอง
ต้องห้ามตัวเอง บอกมันอย่าหวั่นไหว
รักเขาไม่ได้ เขาดียังไง ชอบเขาเท่าไหร่
ก็ต้องหยุดไว้เอง
--
ฟังได้ที่ ลองฟัง

Monday, May 19, 2008

"Here By Me" - เศร้าชมัดเลยเพลงนี้

รู้ตัวนะว่าแปลมั่ว แต่ไม่อยากเปิด Dict เลยแปลตามความรู้สึก แบบว่า พยายามอินหน่อยหน่ะ

I hope you’re doing fine out there without me
ผมหวังว่าคุณคงจะมีความสุขโดยที่ไม่มีผม
‘Cause I’m not doing so good without you
เพราะผมไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อไม่มีคุณ
The things I thought you’d never know about me
มันมีบางอย่างที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับผม
Were the things I guess you always understood
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเคยคิดว่าคุณเข้าใจมันเสมอมา

So how could I have been so blind for all these years?
ผมอยากจะทำตัวเป็นคนตาบอกตลอดไปหลังจากนี้
Guess I only see the truth through all this fear,
ผมคิดว่าผมน่าจะมองเห็นความเป็นจริงผ่านความกลัวเหล่านี้ได้
And living without you…
และอยู่ได้โดยที่ไม่มีคุณ

And everything I have in this world
และทุกๆ อย่างที่ผมมีในโลกนี้
And all that I’ll ever be
และทุกอย่างที่ผมเคยเป็น
It could all fall down around me.
ทุกอย่างมันล่วงลงมากองรอบๆ ผม
Just as long as I have you,
ตราบเท่าที่ผมยังมีคุณอยู่
Right here by me.
อยู่ที่นี่กับผมนะ

I can’t take another day without you
ผมไม่สามารถผ่านวันเหล่านี้ไปได้โดยไม่มีคุณ
‘Cause baby, I could never make it on my own
เพราะอะไรหน่ะหรือที่รัก, เพราะผมไม่เคยทำมันได้ด้วยตัวผมเอง
I’ve been waiting so long, just to hold you
ผมรอมานานแสนนาน, เพียงเพื่อจะเหนี่ยวรั้งคุณ
And to be back in your arms where I belong
และเพื่อจะกลับมาในอ้อมกอดของคุณ ตราบที่ผมยังมีลมหายใจ

Sorry I can’t always find the words to say
ผมขอโทษที่ไม่สามารถสรรหาคำพูดใดๆ
But everything I’ve ever known gets swept away
แต่ทุกๆ อย่างที่ผมเคยรู้มันก็หลุดหายไป
Inside of your love…
ไปในความรักของคุณ


As the days grow long I see
ในแต่ละวันที่ผ่านไป ผมเห็น
That time is standing still for me
ช่วงเวลาเหล่านั้นหยุดนิ่งเพื่อผม
When you’re not here
ตั้งแต่ที่ไม่มีคุณอยู่ตรงนี้

Right here by me.

Sunday, May 18, 2008

ก๊วยจั๊บน้ำใส

ผมพึ่งรู้จักอาหารชนิดนี้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง จะว่าที่แถวบ้านไม่มีก็ไม่กล้าใช้คำนั้น หรือเพราะผมเองไม่เคยเจอร้านที่ขายก็อาจจะเป็นได้ เหอะๆ เพราะก๊วยจั๊บบ้านผมมันไม่มีน้ำใสหรือน้ำข้นหน่ะสิมีแต่ก๊วยจั๊บเฉยๆ กับก๊วยจั๊บเจ๊ก ที่บ้านจะมีเจ๊กกับแกว แกวคือคนญวน หรือเวียดนาม ส่วนเจ๊กก็น่าจะรู้ดีว่าคือคนจีน ที่บ้านเรียกเจ๊ก ไม่ถือว่าไม่สุภาพนะครับ เรียกกันเป็นปกติ เพื่อนคนไหนหน้าตี๋ๆ หน่อยก็เรียกเจ๊กโน่นเจ๊กนี่ ลูกเจ๊กลูกแกว ก็ว่ากันไป ไอ้ก๊วยจับเจ๊กที่ว่าก็คือก๊วยจับที่ภายหลังทราบกันว่าคนกรุงเทพเค้าเรียกว่าก๊วนจั๊บน้ำข้น -_-" เคยไปกินอาหารกับเพื่อนพอมันถามว่ามึงจะกินน้ำข้นหรือน้ำใส ผมเลือกน้ำใสเลย ผิดคาด ไอ้น้ำใสที่ผมเข้าใจมันคือน้ำข้น แล้วทำไมผมถึงคิดว่ามันคือน้ำใส ก็ไอ้ก๊วยจั๊บที่บ้านผม มันข้นกว่านี้มากๆ หน่ะสิครับ ข้นจนอาจจะเรียกว่าไม่มีน้ำก็ได้ ลักษณก็เป็นเส้นขาวๆ เป็นท่อนๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-8 mm. ยาวก็ราวๆ 3-4 เซนติเมตร ต้มเป็นหม้อขนาดใหญ่ใส่กระดูกหมู เวลากินก็ตักใส่ถ้วย ราดน้ำมันกระเทียมเจียว โรยหอมหน่อยก็ใช้ได้แล้ว ใช้ชีวิตที่ กทม. มาสิบกว่าปี ก็ยังไม่เคยเห็นอาหารชนิดนี้มาปรากฏที่ กทม. เลย ส่วนน้ำดำๆ ที่เค้าเรียกกันน้ำข้น แถวบ้านผมเรียกก๊วยจั๊บเจ๊ก คิดว่าน่าจะมาจากสูตรของชาวจีน ส่วนก๊วยจั๊บแกวอาจจะคือก๊วยจั๊บญวนแต่เป็นสูตรแบบคนแถวบ้านผม adapt อีกที :P เรื่องของเรื่องวันนี้ได้มีโอกาสไปกินก็เท่านั้นแหละ

Saturday, May 10, 2008

ขอโทษหว่ะเพื่อน

หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านมา กูเองก็รู้สึกแย่เหมือนกัน แต่คงบอกไม่ได้ว่าใครรู้สึกแย่กว่ากัน เพราะเราอยู่กันคนละด้านของความรู้สึก ขณะที่มึงเป็นฝ่ายรับฟัง กูเป็นฝ่ายพูด คำพูดของกูมันคงทำร้ายความรู้สึกมึงไม่น้อย และคำพูดนั้นเองมันก็ทำร้ายความรู้สึกกูเช่นเดียวกัน กูไม่ได้รู้สึกว่ากำลังล้อเล่นกับความรู้สึกของมึง หรือความเป็นตัวตนของมึงอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่รู้ว่ามึงอ่อนไหวต่อความรู้สึก กูกลับแข็งกร้าวต่อจุดยืน แท้จริงวันนึงมึงอาจจะเข้มแข็ง หรืออาจจะเลวร้ายถึงขนาดเฉยชาต่อเรื่องต่างๆ ถ้าเป็นอย่างหลังมันคงไม่ดีแน่ เพราะมึงเป็นเพื่อนกูหรอกหรือที่ทำให้กูพยายามจะให้มึงเข้มแข็งต่อความรู้สึกแบบนั้น และพูดบอกมึงตรงๆ ออกไป เพรารู้สึกว่าเป็นเพื่อนเท่านั้น กลับไม่ได้คิดว่ามึงจะรับมันได้หรือไม่ ถ้าเป็นคนอื่นกูคงไม่ได้พูดแบบนี้แน่ แต่ก็เอาเถอะหว่ะ กูก็ทำให้มึงเสียใจไปแล้ว ถึงมันไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันก็ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกแล้วสำหรับเรา มึงคงไม่ได้มาอ่านที่กูเขียนไว้หรอก แต่กูเขียนไว้เพื่อนเตือนตัวเองว่ากูจะ ไม่พูดกับมึงในลักษณะนั้นอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะกูเบื่อที่มึงเป็น ไม่ใช่เพราะกูขี้เกีบจหรือเฉยชาต่ออารมณ์ของมึง แต่มึงเป็นเพื่อนกู กูไม่อยากให้เราต้องอยู่ในสภาพแบบนั้นอีก วันนึงมึงคงดีขึ้นต่อความรู้สึกแบบนั้น มันไม่ใช่หน้าที่ของเพื่อนอย่างกูที่จะต้องไปเร่งให้มึงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่กูต้องการ เพราะมึงก็คือมึง และกูก็คือกู ไม่มีใครเหมือนใคร และไม่มีใครจำเป็นต้องเหมือนกับเราซะหน่อย ...

Tuesday, May 06, 2008

[:space:]

ผมคงต้องถอยห่างออกมาอย่างที่คุณต้องการสักพัก ถึงแม้มันจะฝืนต่อความรู้สึกของผม แต่ในเมื่อความสับสนที่เกิดกับคุณ มันยังไม่สามารถระบุที่มาได้อย่างแน่ชัด การมีผมเป็นปัจจัยมันอาจจะทำให้คุณยิ่งเป็นสับสนหนักเข้าไปอีก มันไม่ง่ายที่จะห่างออกมา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ อะไรก็ตามถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณต้องการและผมทำได้ ผมจะทำมัน ผมยั่งมั่นใจในความรู้สึกของตัวผมเองที่มีต่อคุณ แต่ถ้าใช้เพียงความรู้สึกของผมนำพา แล้วมันทำให้คุณอึดอัดผมเองคงจะรู้สึกไม่ดีแน่ ไม่ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไรขอให้คุณผ่านพ้นมันไปให้ได้ และไม่ว่าคำตอบสุดท้ายมันจะออกมาอย่างไร ขอให้เลือกทำในสิ่งที่ตัวคุณเองต้องการ เลือกสิ่งที่ดีต่อความรู้สึกของคุณ จงเข้มแข็งกับทุกๆ เรื่อง ที่ต้องเผชิญ หญิงสาวแก่นแก้วที่ผมรู้จักคนนี้เธออาจจะดูอ่อนไหว แต่แท้จริงเธอเป็นคนเข้มแข็งเอาการเลยแหละ แต่ปัญหาของผมตอนนี้คือความคิดถึงที่เกิดขึ้น มันจะห้ามยังไงกันนะ ...

Thursday, May 01, 2008

คนมีตังค์

วันๆ ไม่เรื่องเพลงก็เรื่องหนัง 55 มันจะต่างอะไรกับหนังสือสักเล่ม เพลงหรือหนังก็ล้วนสะท้อนมุมมองของชีวิตออกมาในช่วงเวลานั้น มุมมองของคนแต่งคนเขียนบท มันก็คือมุมมองของคนๆ นึง เค้ามีความสามารถมากกว่าเราก็ตรงการร้อยเรียงเรื่องราวออกมาเป็นเพลง หรือบทภาพยนต์ก็เท่านั้น เพลงดีๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงที่ดัง หรือเพลงที่ติดปาก เพลงเนื่อหาดีๆ หลายๆ เพลงก็หาได้ดังติดชาร์ต แต่ถ้าเป็นเพลงที่ร้องออกมาโดยศิลปินที่เราชอบเราก็มักจะได้ฟัง หรือไม่ก็บังเอิญมีคนนำพาให้เราไปฟัง อิอิ เพลงนี้เป็นเพลงจากศิลปินที่ผมชื่อชอบเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ถ้าคุณเคยฟังแต่เพลงตลาดๆ อย่าง ยาพิษ ยิ่งรู้ยิ่้งไม่เข้าใจ อกหัก นาฬิกาตาย หรือแม้แต่เพลงที่กำลังโปรโมทอย่าง แค่หลับตา แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเพลงที่ว่ามามันไม่ดี เพียงแต่คนละมุมมอง เพลงส่วนใหญ่จะมองที่ความรัก ไม่ว่าจะอกหักหรือสมหวัง แต่เพลงนี้ "คนมีตังค์" มองที่ชีวิต ฟังๆ ไปไม่ได้คิดอะไรมาก มาติดใจ ตรงท่อนนี้แหละ

"มีสตางค์นี่มันช่างดีแสนดี
มีสตางค์จะทำอะไรผู้คนจะมา
เจอกับใครต่อใครมากมายหลายตา
เหงานั้นคงไม่มี"

ถึงกับต้องถามกลับว่า เห้ย มันจริงเหรอวะ คนมีตังก์ไม่มีความเหงา??
เคยมั๊ยเหงาท่ามกลางผู้คนแวดล้อมหลากหลาย เหงาในงานรื่นเริง ไม่ใช่เหงาเพราะอยู่คนเดียว คุณจะเคยมั๊ยนะ ...

ลองฟังได้ที่นี่ คนมีตังค์ - bodyslam

Sunday, April 27, 2008

The Pursuit Of Happyness

หนังอัตถชิวประวัติของ Chris Gardnet เขาคืนคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต (เรียกว่าร่ำรวย ง่ายกว่า) โดยสวนตัวผมชอบดูอะไรทีมัน Happy Ending หนังที่สุดท้ายพระเอกได้พบรักกับนางเอกอยู่กันอย่างมีความสุข หรือไม่ก็การฝ่าฟันที่ลงท้ายด้วยความสำเร็จ ความจริงคือผมไม่ชอบเรื่องเศร้าหรือความผิดหวังไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมเกรงกลัวหรือขยาดที่จะไม่ทำอะไร เพราะกลัวว่าท้ายที่สุดมันต้องผิดหวัง เพราะแท้จริงแล้วความผิดหวังมันก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป มันอาจจะทำให้เราร้องไห้ ท้อแท้ แต่ท้ายที่สุดมันก็ต้องผ่านพ้นไปได้เอง และเรื่องทุกเรื่องมันก็ไม่ได้จำเป็นต้องจบด้วยความผิดหวังเสมอไป ในเส้นทางที่มุ่งไป คุณทำมันเต็มที่หรือยัง คุณใช้สักยภาพที่มีอยู่เต็มที่ไหม คุณปรับเปลี่ยนแก้ไขข้อบกพร่องได้มากน้อยเพียงใด ชีวิตมันไม่ได้มีดีที่สุดและก็แย่ที่สุดเสมอ ชีวิตมันไม่เคยมีสุดขั้ว ขณะที่คุณยิ้มในใจคุณคิดอะไร ไม่มีใครรู้ นอกเสียจากตัวคุณเอง ผมอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยมองโลกในแง่ร้าย อะไรจะร้ายหรือดีมันอยู่ที่มุมมอง หนังเรื่องนี้มีประโยคนึงบอกว่า "ความสุขมันเป็นอะไรที่เราได้แต่ไขว่คว้า แต่ไม่เคยได้มันมา" แต่ตัวละครก็ไม่เคยท้อแท้กับการไขว้คว้านั้น เมื่อชีวิตคือการค้นหาที่ไม่จำเป็นต้องเจอ ก็จงสนุกกับการค้นหานั้น สนุกับการใช้ชิวิต สนุกกับทุกข์เส้นทางระหว่างการค้นหา เมื่อถึงจุดเปลี่ยนที่ต้องตัดสินใจ ไม่ว่าจะร้ายหรือดีกับใคร ขอให้เลือกสิ่งที่มันดีสำหรับคุณ โอกาสนั้นเป็นของคุณเสมอ

Sunday, April 20, 2008

ความเหงาสีอะไรกันนะ

มีคนถามผมว่าความเหงาสีอะไร ผมบอกว่ามันเป็นสีเทา เค้าถามต่อว่าทำไมถึงคิดว่าความเหงาเป็นสีเทา ผมบอกว่าเพราะมันเป็นส่วนผสมของสีขาวและดำมันจึงเป็นสีเทา เค้าถามผมว่าแล้วต้องสีขาวเท่าไหร่ หรือสีดำเท่าไหร่ ถึงจะได้สีเทา ที่เท่ากับความเหงา ผมบอกว่าส่วนผสมมันไม่แน่นอน แต่มันก็ได้ผลออกมาเป็นความเหงาเหมือนกัน ความเหงาบางช่วงมันก็เจือไปด้วยสีดำมากหน่อย บางครั้งก็เต็มไปด้วยสีขาว ถ้าเราโดนทิ้งให้เหงามันก็จะดำเยอะหน่อย แต่ถ้าเราเหงาเพราะคิดถึงใคร อย่างนี้สีขาวจะเยอะ เค้าถามผมว่าผมรู้ได้ไง ผมบอกว่าผมรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น ที่ผมบอกเค้าไปมันเป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมคนเดียว ไม่สามารถเอาไปอ้างอิงที่ไหนได้ เค้าบอกว่าไม่เป็นไร เค้าแค่อยากรู้ว่าผมคิดอย่างไรเท่านั้นแหละ เค้าถามผมว่าผมรู้มั๊ยว่าโลกใบนี้มันไม่ได้มีแค่สีขาวกับดำ ผมตอบไปว่าผมรู้ อีกสีก็สีเทาไง เค้าส่ายหน้าแล้วบอกว่าผมใช้สีน้อยไปสำหรับการนิยามเรื่องพวกนี้ ทำไมต้องมีแค่ขาวกับดำเมื่อเราเปรียบเทียบของสองสิ่ง ทำไมต้องมีแค่มืดกับสว่างเมื่อเราอ้างอิงถึงความดีกับความเลว เค้าถามผมว่ารู้มั๊ยว่ามีสีฟ้าด้วย ผมตอบว่ามันก็คือสีของท้องฟ้า หรือท้องทะเลไง เค้าบอกว่า รู้มั๊ยว่าแสงสีฟ้า ก็เกิดจากการผสมของแสงสีเขียวกับแสงสีน้ำเงิน ผมบอกไม่รู้ ผมถามเค้าว่าเค้าต้องการบอกอะไรผม เค้าบอกว่าจริงๆ โลกนี้มันมีสีตั้งหลายสี แม้แต่ความเหงา ความเศร้าหรือหม่นหมอง มันก็อาจจะเป็นสีฟ้า สีเขียว สีแดงก็ได้ เค้าบอกว่าเวลาเค้าเหงา ไม่ว่าสีอะไรมันก็เหงาทั้งนั้นแหละ และแต่ละสีมันก็เกิดจาส่วนผสมของสีอื่นๆ สีขาวอาจจะทำให้สีแดงดูสดน้อยลง หรือบางครั้งก็กลายเป็นสีชมพูด้วยซ้ำ ผมว่ามันก็จริง แล้วเค้าต้องการบอกอะไรผม ผมถามซ้ำ เค้าบอกว่าที่เค้าต้องการบอกผม เค้าบอกไปแล้ว ...

Tuesday, April 15, 2008

หนึ่งวันดีๆ

วันดีๆ ที่มีคุณค่าควรแก่การจดจำมันอาจจะมีเป็นทุกวันที่มีประกายเล็กๆ ซ่อนไว้ เมื่อเวลาผ่านพ้นไปเราอาจจะจำไม่ได้ว่ามันคือวันไหน แต่ประกายเล็กๆ ที่ส่องแสงสดใสโดดเด่นถ้าเป็นประกายเช่นนี้ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเราคงไม่ลืม เมื่อเรานึกย้อนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบางครั้งเหตุการณ์มันจะนำความทรงจำของวันที่ ออกมาเอง เหมือนเรานึกถึงความสนุกในวันเกิดเพื่อนคนนึง เราก็จะจำได้ว่ามันคือวันที่เท่าไหร่ตามปฏิทิน ถึงแม้เราอาจจะจำไม่ได้ว่ามัน พศ. อะไรกันแน่ เหตุการณ์ที่เกิดโดยมีผู้ร่วมเหตุการณ์มากกว่า 1 คนจะมีข้อดีมากกว่า เพราะเมื่อเราได้มีโอกาสระลึกถึงเหตุการณ์นั้นร่วมกัน ความทรงจำของเราจะถูกคลุกเคล้ากับความทรงจำของคนข้างๆ กลายเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์มากขึ้น ความเป็นจริงๆ ก็คือคนสองหรือมากกว่า แม้จะเห็นในสิ่งเดียวกันแต่ก็ไม่อาจจะเข้าใจและเก็บรายละเอียดที่เหมือนกันทั้งหมดได้ นี่แหละมั๊งเสน่ห์ของมัน เสน่ห์ของการมีเพื่อนร่วมทาง...

เราอยากจะเขียนถึงความทรงจำในวันวาน แต่เราไม่สามารถที่จะเขียนออกมาเป็นข้อความได้ แม้วันนี้ภาพนั้นมันก็ยังแจ่มชัดในความทรงจำ ถ้าเราไม่เขียนไว้ในตอนนี้เป็นไปได้มั๊ยที่เราจะลืม เมื่ออนาคตคือความไม่แน่นนอนเราก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเราจะลืมหรือไม่ลืม แต่ถ้าเราลืมมันไป ถึงแม้ได้กลับอ่านข้อความที่บันทึกไว้ มันก็ยากที่จะดึงความรู้สึกต่อเหตุการณ์กลับมาได้เหมือนเดิม ถ้าเราลืมมัน ไม่ได้หมายความว่าเราลืมเพียงแค่เรื่องเราที่เกิดขึ้น แต่หมายถึงเราลืมความรู้สึกดีๆ เหล่าไปนั้นต่างหาก

เราเลือกที่จะไม่บันทึกรายละเอียดไม่ใช่เผื่อไว้สำหรับลืม แต่เรามั่นใจในความทรงจำของเราต่างหาก แต่กระนั้นเราก็ยังมานั่งบันทึกข้อมูลแบบเฉียดไปเฉียดมา เพื่อการประติดประต่อเรื่องราวเท่านั้นเองจริงๆ ...

Saturday, April 12, 2008

เมื่อนึกย้อนกลับไป ก็ไม่รู้จะขอบคุณมันยังไง

ในชิวิตเรามันเรื่องอยู่แค่ 2 เรื่องเท่านั้นแหละ คือเรื่องที่เราควบคุมได้ และเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ เราจะรู้ว่าเรื่องที่ว่ามันจะเป็นเรื่องไหน ก็ต่อเมื่อเราเริ่มจะควบคุมมัน แต่บางครั้งถ้าเราปล่อยวาง ปล่อยให้มันลองลอยไร้สภาพการควบคุม เราก็จะไม่ได้นึกถึงว่า มันควบคุมได้ไหม ทีนี้พอเรื่องมัน ล่องลอยสักพัก เราจะเริ่มจับทิศทางของมันได้ แต่จะเปลี่ยนไปทันที ที่เราเริ่มจะไปควบคุมอีกครั้ง
เส้นทางที่คุ้น มันก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงใหม่ ทฤษฎีของเราคือ เราจะไม่ไปควบคุมมัน แต่จะเริ่มจาก การควบคุมตัวเอง เพื่อให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของมัน เมื่อสองสิ่งเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน แรงในตอนนั้นน่าจะเรียกว่าแรงเหวี่ยงรักษาสภาพการโคจร ถ้าเราใช้เวลากับวงโคจรนี้นานพอ จากนั้นเราจะเริ่มควมคุมมันได้ ไม่ได้หมายความถึงการควบคุมสิ่งนั้นนะ แต่หมายถึงการควบคุม
ตัวแปรต่างๆ เพื่อให้สภาพวงโคจรมันยังคงอยู่ และถ้าเราใช้เวลาในการเก็บตัวแปรได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะรักษาวงโครจรได้นานมากขึ้นเท่านั้น

แน่นอนในหนึ่งช่วงชิวิต เราอาจจะมีโอกาสไปอยู่ในหลายๆ วงโคจรที่มีตัวแปรแตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน และไม่สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้ แต่ทุกครั้งมันเกิดการเรียนรู้ เราดีขึ้นเสมอ เราได้รับการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือแม้กระทั่งโอกาสได้เจอสิ่งใหม่ๆ ถ้ามีพรให้เรากลับไปแก้ไขอะไรก็ได้ในอดีต เราจะไปแก้ไหม คำตอบคงเป็นไม่ เราพอใจกับทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามา กับทุกคนๆ ที่ได้มีโอกาสพบเจอ แม้นมันจะดีบ้างไม่ดีบ้าง มันก็ล้วนเป็นความทรงจำให้นึกถึงเสมอ ถ้ามันแย่เราต้องทำให้มันดี หรือไม่ก็อย่าทำมัน ถ้ามันดีเรายังมีสิทธิ์ทำให้มันดีกว่านั้น โอกาสในตอนนี้มันยังเป็นของเราเสมอ นั่นต่างหากคือสิ่งที่เราต้องคิดว่าจะทำหรือไม่ทำมัน

"เมื่อนึกย้อนกลับไป ก็ไม่รู้จะขอบคุณมันยังไง"

Thursday, April 10, 2008

You've got the message.

-- ไอ้เราก็กลัวเค้าจะรู้สึกไม่ดี ครั้นจะไปถามไถ่ถึงเรื่องราวที่ราวได้ไปสารภาพไปกับเค้าทาง email มันคงน่าจะเป็นวิสัยของคนทั่วไป แต่เรากลับกลัวว่าการไปคะยั้นคะยอ มันก็จะทำให้เกิดความรำคาญ ถ้ามันมากไปกว่าเพื่อนไม่ได้ เราก็ไม่อยากให้มันแย่กว่านั้น ยังมีความขลาดอย่างแสนสาหัส แต่ก็ยังกล้าที่จะบอกความรู้สึกออกไป

-- เรานึกเรื่องของหนุ่มสาวคู่นึงที่คบหาพูดคุยกันมาพอสมควร แต่ต่างฝ่ายก็ต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนึงคิดกับตัวเองอย่างไร ฝ่ายชายกำความรู้สึกของตัวเองไว้ด้วยมือข้างซ้าย ส่วนข้างขวากำความคาดหวังไว้หลวมๆ ส่วนฝ่ายหญิงนั้นสุดจะคาดเดาได้ เวลาผ่านไปนาน นานจนเค้ารู้สึกว่าเค้าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้สิ่งที่อยู่ในมือขวามันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา หรือไม่ถ้าหากมันเป็นเพียงอากาศก็จะได้แบมือและปลดปล่อยให้มือขวาได้ผ่อนคลายจากสภาพนั้นบ้าง เค้าบรรจงเขียนจดหมายบรรยายความรู้สึกที่มีต่อหญิงคนนั้นพับไว้อย่างดี แล้วก็แทรกไว้ในหนังสือเล่มนึงบนโต๊ะเธอ เค้ารู้ว่ามันเป็นหนังสือที่เธอชอบอ่าน และเฝ้าสังเกตว่าเธอได้หยิบหนังสือเล่มนั้นติดมือไปหรือยัง วันนึงเค้าสังเกตเห็นว่าหนังสือเล่มนั้นมันหายไปจากโต๊ะเธอแล้ว เค้าเริ่มกลัวกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น เค้ากลัวความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันอย่างเพื่อนมันจะบั่นทอนลงไป ... เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง เค้าก็ต้องแปลกใจเพราะทุกอย่างระหว่างเค้ากับเธอมันเหมือนเดิม เธอยังมีไมตรีและพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับเขา ตอนนี้มือข้างขวาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังมันเริ่มคลายตัวออกแล้ว แต่ความรู้สึกดีๆ ในมือข้างซ้ายมันก็ยังคงอยู่ เค้าไม่ได้ถามถึงความรู้สึกต่อจดหมายฉบับนั้น เธอก็ไม่เคยเอ่ยถึงมันเช่นเดียวกันจน เวลาผ่านไปอาทิตย์กว่าๆ เธอได้ส่งข้อความมาบอกเค้าว่า เธอได้อ่านมันแล้ว ด้วยความบังเอิญระหว่างเปิดหนังสือเล่มนั้นมีกระดาษแผ่นนึงล่วงหล่นลงมา แล้วเธอตอบกลับใปในกระดาษอีกแผ่นในหนังสือเล่มเดียวกันและวางไว้ที่โต๊ะเขา..

-- เมื่อเช้าระะหว่างที่กำลังรอรถเมล์ หยิบโทรศัพท์มาดู มีข้อความ 1 ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน ดูชื่อคนส่งแล้วใจสั่นพิกลแฮะ ข้อความบอกว่า มีข้อความอีกข้อความนึง ได้ถูก post ไว้นะที่แห่งนึงแล้วนะ ...


-- วันนี้มันเป็นวันที่เรามาถึง office ช้ามาก ทั้งๆ ที่ก็ใช้เวลาเท่าเดิม และถึงในเวลาเดิม

Saturday, March 29, 2008

หนึ่งวันที่ดูจะวุ่นวายกว่าปกติ

วันนี้ดูวุ่นวายพิลึกแฮะ ตั้งใจจะออกไปซื้อ SD การ์ดที่พันทิพ พอดีเพื่อนจะไปซื้อ wireless router เลยถือโอกาศไปเป็นเพื่อน อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งรถเมล์ หลบร้อนไปได้ แถมยังมีเพื่อนคุยอีกต่างหาก โทรไปถามๆ คนที่เคยซื้อ ปรากฏว่า true shop ถูกสุด ถูกกว่าร้านที่พันทิพย์อีก โทรไปถามพี่ที่ office ถึง true shop ว่าที่ central ปิ่นเกล้ามันมี true shop หรือเปล่า พี่คงงง ผมก็งง แต่ก็ไม่รู้จะโทรถามใคร บ้านพี่ก็ไม่ได้อยู่แถวนั้น แต่ก็สืบเสาะจาก internet มาให้ได้ว่า true shop ที่ central ปิ่นก็มีเหมือนกัน สุดท้ายก็ได้มา นัดคนในเนทไว้จะดูเลนส์ ตอนห้าโมงครึ่ง ทำท่าจะไปไม่ทัน ดีได้เพื่อนไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้า เลยไปตรงเวลา และได้เลนส์ 17-50 มาแทนเจ้า 24-70 ได้ wide เพิ่มมา แต่ก็เสียระยะเทเลไปดูจะยังปรับตัวกับระยะไม่ได้แฮะ ไม่เป็นไร เวลามันจะสร้างความเคยชินให้เราเอง กลับเข้ารถไฟฟ้า ไปฟอร์จูน (ยังไปสู่เป้าหมายหลักคือ SD) ไปเดินจนเมื่อน่อง สุดท้ายไม่ซื้อ เพราะจ่ายค่าเลนส์ไปแล้วใจแป้วๆ พิกล ถ้าจะต้องจ่ายค่า SD อีก พรุ่งนี้ยังต้องจ่ายให้น้องอีก มันไม่จำเป็นต้องใช้อะไรหรอก เจ้า SD เพียงแต่อยากได้มาทดสอบ กับอุปกรณ์ DIY ที่สร้างขึ้นมา ตัดสินใจนั่งรถเมล์กลับ นึกขึ้นได้ว่าอาหารหมดห้องแล้ว เลยต้องแวะ bigC ซะหน่อย ได้วัตถุดิบมาพอสมควร ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมไม่ไปสั่งก๊วยเตี๋ยวมากิน มันก็เสร็จๆ ไปแล้ว ไม่ต้องหุงข้าว ไม่ต้องทอดไข่ อุ่นไก่ วุ่นวายพิลึก กว่าจะกลับถึงห้องก็ล่อไปสองทุ่มเศษๆ คนอื่นอาจจะเป็นวันที่ปกติธรรมดา แต่ทำไมเรารู้สึกมันวุ่นวายเคลื่อนไหว มากกว่าปกติ เหมือนหอยทากกลิ้งลงเนินยังไงไม่รู้ ยังงงตัวเองกับ mail ที่ส่งออกไปเมื่อวานจริงๆ เลยแฮะ นึกไม่ออกเหมือนกันว่ารู้สึกอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วถ้าส่งไปตั้งแต่หลายเดือนก่อน หนึ่งเดือนก่อน อาทิตย์ก่อน หรือวันก่อน มันจะต่างกันยังไงนะ เอาน่าอย่างน้อยก็บอกให้เค้ารู้ เพราะหลังจากนี้อาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยก็ได้ซึ่งก็คือเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้น.. ถ้าไม่ใช้โอกาสนี้ ระยะทาง และความห่าง มันคงผลักความรู้สึกของเราให้จางไป ในทีสุด ...

Monday, March 03, 2008

Little Wonders

อย่าไปสน อย่าไปคิดกังวลให้มากมาย ผ่านไปแล้ว

หมดซึ่งเรื่องร้ายที่ยากเย็น



เผยตัวตน สิ่งที่แท้และจริงที่เธอเป็น

และสุดท้ายสิ่งที่เห็นกลายเป็นแค่ความทรงจำ ... ของเธอ



ปล่อยมันไป ปลดความทุกข์ในใจที่คอยจ้อง

เปิดใจกว้าง ให้เกิดแสงเรืองรองรอบ ๆ กาย



ถ้ามองหาเพื่อน ก็มีฉันคอยคุย คอยเตือนได้

อย่ายอมแพ้ เพราะที่แท้เรื่องที่สำคัญนั้นคือ .หัวใจ.




ช่วงในชีวิต จะเล็กสั้นเพียงไหน มีความหมายยิ่งใหญ่

นำพาชะตาผันแปรพ้นปีและเดือน ไม่ลบไม่เลือนหาย สวยและสดใส



ในใจนี้ ให้เวลาไม่นาน คงลืมเรื่องราวเจ็บช้ำ

และฉันจะยังฝังจำถึงความรู้สึกนี้ไว้





"Keep Moving Forward"

Sunday, February 03, 2008

Yellow - Coldplay

มีเพลงอยู่เพลงนึง ชื่อ เพลง Yellow ที่เป็นที่สงสัยของผมมานานแล้ว ว่าความหมายมันคืออะไร และทำไมต้องเป็นสีเหลือง ลองดูเนื้อเพลง
---
Look at the stars; look how they shine for you
And everything you do
Yeah, they were all yellow

I came along; I wrote a song for you
And all the things you do
And it was called yellow

So then I took my turn
Oh what a thing to have done
And it was all yellow

Your skin, oh yeah your skin and bones
Turn into something beautiful
D'you know?
You know I love you so
You know I love you so

I swam across; I jumped across for you
Oh what a thing to do
'Cos you were all yellow

I drew a line; I drew a line for you
Oh what a thing to do
And it was all yellow

And your skin, oh yeah your skin and bones
Turn into something beautiful
D'you know?
For you I bleed myself dry
For you I bleed myself dry

It's true
Look how they shine for you
Look how they shine for you
Look how they shine for…
Look how they shine for you
Look how they shine for you
Look how they shine

Look at the stars
Look how they shine for you
And all the things that you do
---
เพลงนี้ทำนองไพเราะมากในความคิดของผม แต่ความหมายยังเป็นที่น่าสงสัย ก็อย่างว่าแหละครับ ว่าทำไมต้อง Yellow ทำไมต้องสีเหลือง ผมไปค้นหาที่มาที่ไปของเพลงนี้ ได้ความมาดังนี้ครับ โดยนักร้องนำของวง (Chris Martin) ที่แต่งเพลงนี้เค้าบอกว่า ในขณะที่เค้ากำลังนั่งเขียนเนื้อเพลงอยู่นั้น เขาเหลือบไปเห็นสมุดหน้าเหลืองที่วางอยู่ในห้อง แล้วเค้าก็รู้สึกในทันทีเลยว่า สีเหลืองที่แหละเหมาะสุดแล้ว เค้ากล่าวว่าเนื้อเพลงเกี่ยวกับการทำอะไรบางสิ่งบางอย่างเพื่อใครบางคน หรือกำลังต้องการทำอะไรบางอย่างให้บางคน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเพลงเพื่อนพวกเค้า การว่ายน้ำข้ามทะเลเพื่อพวกเค้า และมันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของความโรแมนติกอะไร แต่เป็นการทำอะไรบางอย่างเพื่อพวกเค้า หรือกระทั่งคนที่คุณรัก เหมือนกับสมุดหน้าเหลืองที่มีประโยชน์มากมาย ไม่ต้องเสียเงินซื้อ มีคนทำมาแจกให้เรา และที่สำคัญ มันเป็นสีเหลือง ไม่รู้จริงเปล่า แต่เค้าว่ามาอย่างนั้นครับ เหอะๆ