Monday, December 31, 2007

ถือว่าเป็นอีกปีที่ฉันพอใจ

มีคนส่งเพลงนี้มาให้ พอฟังแล้ว ถึงสัมผัสได้ถึงความเหงา เหอะๆ -_-"
---
รู้ตัวเองอีกทีก็ผ่านพ้นมาจนปีใหม่
ฉันยังคงตื่นใจกับลมหนาวในเดือนธันวา
รู้สึกว่าปีนี้ไม่เหมือนปีที่ผ่านมา
เหมือนมันมีบางอย่างที่ขาดหายไป

เสียงข้างนอกถนนบอกว่าทุกคนมีความสุข
เหมือนจะเป็นอีกปีที่มีเรื่องดีดีมากมาย
ฉันอยู่กับตัวเองมองทบทวนเรื่องที่ผ่านไป
ข้ามนาทีปีใหม่โดยไม่มีเธอ

มองขึ้นไปบนฟ้าเห็นพลุสว่างไสว
มันจะดีแค่ไหนถ้าเธอนั้นยังอยู่
เราคงทำเหมือนกัน
ที่จะหันมองดูพลุสวยลานตาใต้ฟ้าเดียวกัน

รู้ตัวเองว่าเหงาแต่ผ่านพ้นไม่ยากเท่าไหร่
ฉันมีความตั้งใจอยากฉลองคนเดียวสักวัน
ทุกอย่างเกือบดีพร้อมเพียงแค่ไม่มีเธอเท่านั้น
ถือว่าเป็นอีกปี...ที่ฉันพอใจ

มองขึ้นไปบนฟ้าเห็นพลุสว่างไสว
มันจะดีแค่ไหนถ้าเธอนั้นยังอยู่
เราคงทำเหมือนกัน
ที่จะหันมองดูพลุสวยลานตาใต้ฟ้าเดียวกัน

รู้ตัวเองว่าเหงาแต่ผ่านพ้นไม่ยากเท่าไหร่
ฉันมีความตั้งใจอยากฉลองคนเดียวสักวัน
ทุกอย่างเกือบดีพร้อมเพียงแค่ไม่มีเธอเท่านั้น
ถือว่าเป็นอีกปี...ที่ฉันพอใจ

ทุกอย่างเกือบดีพร้อมเพียงแค่ไม่มีเธอเท่านั้น
ถือว่าเป็นอีกปี...ที่ฉันพอใจ

Wednesday, December 05, 2007

วันพ่อ

นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้มีโอกาสได้คุยกับ 'พ่อ' ทั้งที่ชีวิตในวัยเด็ก ผมใช้เวลาคลุกคลีกับพ่อมากกว่าแม่ซะอีก เนื่องด้วยแม่เป็นบุคคลที่มีภาระในการหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครับ ส่วนพ่อก็เป็นพ่อบ้าน วันเวลาที่เนิ่นนานมันสั่งทอนความสัมพันธ์ แม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่ผูกพันทางสายเลือด ก็ยังเกิดช่องว่างบางๆ ขึ้นมาได้ ระทางของความห่างอาจจะไม่ใช้ระยะทางที่สามารถวัดได้ด้วยหน่วยวัดใดๆ แต่ในความรู้สึกลึกๆ มันก็มีระยะทางตรงนั้นอยู่ พ่อเปลี่ยนไปมาก หรือไม่ผมก็เปลี่ยนไป เราทั้งคู่เปลี่ยนไป นั่นคือข้อสันนิษฐานของผม วันนี้วันพ่อ ผมลอกนึกย้อนไป ว่าอะไรนะคือความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกถึงช่องว่างกันแน่ พ่อ ไม่ได้เปลี่ยนไปนี่นา พ่อก็ยังเป็นพ่อขี้เมาเหมือนเดิม ไม่ว่าจะ 20 ปีที่แล้ว 10 ปี หรือแม้แต่ครั้งล่าสุดที่ผมเจอพ่อ บังเอิญได้เจอญาติแถวบ้านเมื่อหลายเดือนก่อน เค้าบอกผมว่า "กลับบ้านบ้างเถอะ ที่ผ่านๆ อย่าไปถือสาแกเลย" ไม่มีพ่อคนไหน ไม่คิดถึงลูกแน่นอน ผมเชื่อเช่นนั้น แล้วผมเชื่อว่าพ่อผม ก็ไม่ได้แตกต่างจากพ่อคนอื่น ไม่ใช่แค่พ่อที่ให้กำเหนิดและเลี้ยงดู แต่เป็นพ่อที่ยังเฝ้อรอดูความสำเร็จของลูก ถือแม้ลูกคนนี้จะห่างจากบ้านมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม วันนี้ผมตั้งใจว่าจะโทรกลับไปคุยกับพ่อซะหน่อย แต่ก็อย่างว่า ผมคิดเช่นนี้มาทุกๆ เทศกาลสำคัญ แต่การกระทำยังไม่เคยเกิดขึ้น ผมหรือพ่อ เราทั้งคู่เคยได้ยินเสียงของอีกฝ่ายทางโทรศัพท์ไหมนะ ผมนึกไม่ออกด้วยซ้ำ ....

Sunday, November 04, 2007

นาฬิกาตาย บอดี้สแลม (Bodyslam)

ใบไม้มันยังผลัดใบ เปลี่ยนผันตามฤดูกาล
แต่ชีวิตยังไม่เปลี่ยนไป ยังเหมือนเดิมอย่างนั้น

*เข็มของนาฬิกาไม่เคยบอกเวลา
นานแค่ไหน ก็เหมือนเดิมเสมอ
ตั้งแต่เราจากกัน จนในวันนี้ ก็มีเพียงเธอ

**ยังเก็บรักนั้น อยู่ในหัวใจ เธอจะรู้ไหม ฉันยังคงพร่ำเพ้อ
หลับตาทุกครั้ง ก็ยังเห็นเพียงแต่เธอ
ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ ไม่เคยจะลบเลือน (เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน)

อยากรู้เธอเป็นอย่างไร จากครั้งที่เราแยกทาง
อธิษฐานไปอย่างเลื่อนลอย ก็อยากพบเธออีกครั้ง


*,**

solo

ยังเก็บรักนั้น อยู่ในหัวใจ เธอจะรู้ไหม ฉันยังคงพร่ำเพ้อ
หลับตาทุกครั้ง ก็ยังเห็นเพียงแต่เธอ
ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ

ยังเก็บรักนั้น อยู่ในหัวใจ ยิ่งอ้างว้างมากเท่าไร ยิ่งพร่ำเพ้อ
หลับตาทุกครั้ง ก็ยังเห็นเพียงแต่เธอ
ฉันยังคิดถึงเธอเสมอ แม้นานจนป่านนี้

ฉันยังคิดถึงเธอ....

-----------------------------
หลายเพลงที่ยังไม่เคยฟัง เพียงเพราะเหตุบังเอิญ
ทำให้ได้มีโอกาสที่จะเจอะเนื้อเพลง ก่อนที่จะได้มีโอกาส
ฟังเพลงนั้นจริงๆ ซะอีก โดยส่วนตัวคิดว่าเพลงที่มีเนื้อหาดี
โอกาสที่จะเพราะก็จะสูงตาม ไปเจอเนื้อเพลงนี้จากเว็บบอร์ดแห่งนึง
จากกลุ่มคนที่ชอบศิลปิน BodySlam ยอมรับว่าโดยส่วนตัว
ก็ชอบวงนี้อยู่แล้ว คิดว่าคงต้องหามาฟังซะแล้ว ไม่ทางใดก็ทางนึง ...

Thursday, October 25, 2007

อย่าไปดูซีรี่ หรือละคร ถ้าใจไม่แข็งพอ

ผมว่าพฤติกรรมติดละคร (บ้านเรา) หรือติด series (ติดละครต่างชาติ) เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้กับคนส่วนมาก ถ้าลองเผลอได้ดูเข้าสักตอนหรือสองตอน (สำหรับคนใจแข็งหน่อย) ก็จะติดงอมแงมแทบจะขาดไม่ได้ อะไรกันนะคือสาเหตุ ความสามารถในการผู้เรื่อง ความหล่อเหลา หรือส่วยเก๋ของตัวแสดง ความอยากรู้อยากเห็นความเป็นไปของชีวิตคนอื่น (แม้จะถูกสร้างขึ้นก็ตาม) ที่ซ่อนเร้นภายในตัวเราทุกผู้ทุกคน การมีอารมณ์ราวกับตัวละครเป็นญาติพี่น้อง หรือเพื่อนข้างบ้านที่ร่วมสุขรวมทุกข์กันมา อะไรกันนะ หรือบางที่คนเราอยากจะหลุดจากวิถีความเป็นตัวเอง การแทรกสอดอารมณ์ลงไปในตัวละครเพื่อให้ลืมสภาพปัจจุบัน แม้เพียงชั่วขณะก็ตามที เราได้ฝัน เราได้ร่วมยินดีกับพระเองนางเอง ได้ร่วมสมน้ำหน้าตัวร้ายหรือคนเลวที่มักจะได้รับจุดจบที่ไม่ดี (อาจจะต่างกับชีวิตจริง หรือเป็นไปได้อยากในชีวิตจริง) เรายินดีๆ ที่คนดีๆ ในเรื่องได้ลงเอยกัน พระเอกหล่อ นางเอกสวย พระเอกดีเลิศ นางเองกตัญญู ผมเองก็ติดตามดูละครพอตัว แต่ก็ไม่ได้ถึงกับติดงอมแงมถึงขนาดนัดหมายกับตัวเองว่าต้องดูเรื่องโน้นเวลาโน้น เรื่องนี้เวลานี้หรอก วันก่อนนั่งดูบอลกับเพื่อนมันถามผมว่าทำไมคนตั้งเยอะแยะต้องเข้าสนามไปดูบอลวะ? เป็นคำถามที่ดี ผมพยายามหาเหตุผลสองสามข้อให้มัน มันไม่ได้สนใจจะฟังผมเท่าไหร่ หรือเพราะมันถามไปงั้นแหละ กูกับมึงไม่ได้เป็นพื่อนร่วมชาติกับมัน ยังมานั่งดูกันอยู่ พิมพ์มาถึงตอนนี้เริ่มสงสัย กูมาพิมพ์อะไรซะยาว ขมวดปมจบไม่ได้ ถ้าเป็นละคร คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าติดตาม ว่าแต่มันจะมีชีวิตใครกันนะที่น่าติดตามทุขณะจิต คุณและผมต่างก็รู้ว่า "มี" แน่ ก็คนที่เราสนใจไงหล่ะ เราย่อมอยากรู้ความเป็นไปของเค้าแม้นรายละเอียดที่น้อยนิด มันก็่ช่างน่าติดตามเสียนี่กะไร

Monday, October 22, 2007

หรือเพราะร่างกายขาดความยืดหยุ่น

หรือเพราะแก่แล้ว เส้นสายภายในร่างกันมันเลยตึงตัว ไม่ก็เพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายความเค้นในร่างกายมันเลยเยอะ ขยับท่าแปลกหรือยืดตัวมากๆ เกิดอาการเส้นตึก ปวดคอมากหลังจากอาบน้ำเสร็จ อาจจะเพราะพยายามถูหลังเร็วเกินไป โดยลืมไปว่าตื่นนอนใหม่ๆ ร่างกายยังไม่พร้อมจะทำอะไรกระทันหัน สันนิษฐานไปต่างๆ น่าๆ ก็เมื่อเช้านะสิปวดคอมากถึงมากที่สุด ออกจากห้องน้ำลองมานอนเอนหลัง โอ้ว แม้แต่เอนหลังยังไม่ได้ปวดตั้งแต่แผ่นหลังมาถึงต้นคอ ตัดสินใจพาร่างกายไปทำงาน คิดว่าอาการเส้นตึงมันคงจะทุเราลงไปได้เอง ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ คราวนี้ปวดคอไม่พอทำท่าจะจับไข้ซะอีก แย่จริงๆ เรา เลยขอตัวกลับบ้านก่อน ไม่ได้หวังว่ากลับมาแล้วมันจะหายหรอกนะ แต่ไม่อยากกลับในเวลาที่ผู้คนพลุกพล่านกอรปกับการขยับร่างกายที่ไม่คล่องตัว จะทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก แวะซื้อบุหรีระหว่างทาง ปกติทำงานจะไม่ได้เอาบุหรี่ไปสูบ คราวนี้ปวดคอไม่รู้จำทำไง หาบุหรี่สูบแก้เครียดหน่อย เดินเข้าเซเว่น สั่ง LM แดงซองนึง พนักงานถามอย่างที่เคยถาม เอาซองแข็งหรือซองอ่อนค่ะ (บุหรี่มีการบรรจุซอง 2 ปรเภท คือซองอ่อนที่เห็นกันทั่วไปกับ กับซองแข็งซึ่งดูมีราคา แต่จริงๆ แล้ว ราคามันเท่ากัน) ผมตอบไปว่าซองแข็ง เค้าเอื้อมไปหยิบบุหรี่ออกมาโดยไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำแล้วเอารูดผ่านเครื่องอ่านบาร์โค๊ด มันเป็นซองอ่อน ธรรมดาผมไม่ได้สนใจหรอกจะแข็งหรืออ่อนดูดมากๆ เป็นมะเร็งตายได้พอๆ กัน แต่ด้วยการหยิบของเธอมันทำให้ผมรู้สึกว่า คุณไม่ใส่ใจลูกค้าเอาซะเลย คุณถามผมทำไมว่าจะเอาซองชนิดไหน เมื่อคุณไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าที่หยิบมามันจะเป็นอย่างที่ผมบอกหรือเปล่า ผมบอกเธอไปว่าผมสั่งซองแข็ง และผมต้องการซองแข็งเท่านั้น เธอทำหน้าไม่พอใจเล็กๆ คงนึกในใจว่า เรื่องมากจังวะ ซองไหนก็เหมือนกัน ถ้าเหมือนกันแล้วคุณถามผมทำไม? คุณเสนอทางเลือก แล้วไม่สนองต่อทางที่ผมเลือกแล้วคุณให้ผมเลือกทำไม ถ้าไม่อยากให้เค้าเลือก ก็อย่ายื่นข้อเสนอ ง่ายๆ แค่นี้ ถ้ามีข้อเสนอคุณมีสิทธิ์เลือก และสิทธิ์ในการปฏิเสธต่อสิ่งที่ได้รับซึ่งขัดต่อทางที่คุณเลือกย่อมเป็นไปได้ อย่าเลยครับอย่าให้มันง่ายจนเคยตัว อะไรก็ได้ ผลกระทบบางมันอย่างมันส่งผลทอดยาวไปถึงลูกหลานของคุณก็เป็นได้ ... (เรื่องมากจังวะ เรา)

Thursday, October 18, 2007

งานขายหนังสือประจำปี

มีโอกาสได้ไปงานหนังสือประจำปีอีกแล้ว พลาดเหมือนเดิมคือดันกดตังก์ติดกระเป๋าไปด้วย ทั้งๆที่คิดว่าจะไปเดินดูเฉยๆ ก่อน (อีกแล้ว) เดินค่อนงานกว่าจะเสียตัวให้กับหนังสือของ อ.ชัยวัฒน์ (รู้จักกันในนามชัยคุปต์) บรมครูหนังสือวิทยาศาสตร์ ตอนเด็กๆ ชอบอ่านการตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ของแกท้ายเล่ม "ชัยพฤกวิทยาศาสตร์" (สมัยนี้เลิกตีพิมพ์ไปแล้ว) เห็นกองๆ ขาย เล่มละ 20 บาท ไม่น่าเชื่อว่า 20 บาทนี้มันจะจุดประกายให้ต้องเดินย้อนกลับไปเก็บหนังสือที่เล็งไว้ตอนเดินๆ ดูมา สรุปยอดจ่ายท้ายสุด หมดไปพันกว่าบาท ได้หนังสือมามากกว่าสิบเล่ม นักเขียนในดวงใจคราวนี้คือคุณชาติ กอบจิต โชคดีของผมที่หนังสือระดับมาสเตอร์พีช ผมได้อ่านมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะพันธุ์หมาบ้า หรือ คำพิพากษา (อ่านไป 2 รอบ) คราวนี้เลยได้กวาดเล่มเล็กติดมือมา จะว่าไปหนังสือของท่านไปยืนอ่านร้านหนังสือจบได้ภายในเวลาไมนานเพราะเล่มเล็กๆ เอง แต่ด้วยอุดมการณ์ของท่านคือพยายามใช้กระดาษราคาถูกเพื่อพิมพ์หนังสือที่ราคาถูก ให้เข้าถึงคนอ่านมากกว่ามุ่งหวังกำไร เพราะคนอ่านไม่ใช่ปลวกแทะกระดาษกินเสียหน่อย คุณค่าของวรรณกรรมมันอยู่ในตัวอักษรหาใช่กระดาษที่ใช้พิมพ์ไม่ แต่เวอร์ชันสำหรับคนชอบสะสมก็มีการตีพิมพ์ออกมารองรับเช่นกัน การซื้อหนังสือท่านผมถือว่าเป็นการรับผิดชอบต่อศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานครับ หยิบหนังสือของคุณประชาคม และก็คุณจำลองมาด้วย (เห็นว่าฝีมือเรื่องสั้นของคุณจำลอง ฝั่งชลจิต อยู่ในระดับแนวหน้า เลยต้องขอลอง) หยิบกระจายๆ กันมา กะลองอ่านดูก่อนถึงคุณประชาคมผมจะอ่านของท่านไปแล้วเล่มนึง ("เขียนฝันด้วยชีวิต" ให้เป็นของขวัญวันเกิดน้องชายคนนึงไป แต่ก็ได้กลับมาจากร้านหนังสือมือสอง :P) มันออกแนวอัตถชีวประวัติ ต้องลองอ่านแบบที่ท่านแต่งดูก่อนสักเล่ม ทั้งหมดนี้คงต้องนอนรอไปก่อน เพราะผมมีหนังสือนิยายญี่ปุ่นติดกระเป๋าอยู่เล่มนึงยังอ่านไม่จบ แล้วโดยธรรมชาติของผมทำอะไรซ้ำซ้อนกันไม่ได้ ต้องไปเป็นเรื่องๆ รักใครรักทีละคนแน่นอน หุหุ ...

Creep - คนไม่มีวาสนา

--------------------------------------
Creep Lyrics
Artist(Band):Radiohead
--------------------------------------
When you were here before,
Couldn't look you in your eye
You're just like an angel,
Your skin makes me cry
เมื่อก่อนที่มีเธออยู่
เธอคงมองไม่เห็นตัวเองหรอก
เธองดงามราวกับนางฟ้า
ผิวพรรณของเธอทำให้ฉันต้องหลังน้ำตา

You float like a feather
In a beautiful world
I wish I was special
You're so fucking special
เธอลองลอยดุจขนนก
ท่ามกลางโลกที่สวยงาม
ฉันหวังว่าฉันจะเป็นคนพิเศษ
เพราะเธอช่างพิเศษเหลือเกิน

But I'm a creep,
I'm a weirdo
What the hell am I doin' here?
I don't belong here
แต่ฉันมันคนต่ำต้อย
ฉันคือคนป่าเถื่อน
แล้วฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่หล่ะ
ฉันไม่ควรจะอยู่ตรงนี้

I don't care if it hurts,
I wanna have control
I want a perfect body
I want a perfect soul
ฉันไม่กลัวกับความผิดหวัง
ฉันหวังว่าจะควบคุมมันได้
ฉันต้องการร่างกายที่สมบูรณ์
ฉันต้องการจิดใจที่สมบูรณ์

I want you to notice
when I'm not around
You're so fucking special
I wish I was special
ฉันอยากจะบอกให้เธอรู้ไว้
แม้เวลาที่ฉันไม่อยู่
เธอช่างพิเศษ
ฉันหวัง .. ฉันจะเป็นคนพิเศษ

But I'm a creep
I'm a weirdo
What the hell am I doin' here?
I don't belong here, ohhhh, ohhhh


She's running out again
She's running out
She run run run run...
run...
แล้วก็เธอก็วิ่งหนีฉันไป ...

Whatever makes you happy
Whatever you want
You're so fucking special
I wish I was special
อะไรก็ตามที่ทำให้เธอมีความสุข
อะไรก็ตามที่เธอต้องการ
เธอช่างพิเศษ
ฉันหวัง ..ฉันจะเป็นคนพิเศษ

But I'm a creep,
I'm a weirdo
What the hell am I doin' here?
I don't belong here

I don't belong here...
--------------------------------------

Monday, October 15, 2007

Dust in the Wind

ARTIST: Kansas
TITLE: Dust in the Wind

I close my eyes
Only for a moment, then the moment's gone
All my dreams
Pass before my eyes, a curiosity
Dust in the wind
All they are is dust in the wind
ฉันลองหลับตาลง
แม้เพียงชั่วเวลาสั้นๆ แล้วมันก็ผ่านพ้นไป
ความฝันทั้งหมดของฉัน ผ่านไปก่อนที่ฉันจะเห็นมัน อย่างชัดเจน
แค่เพียงผงฝุ่นในสายลม
ทั้งหมดนั้น มันก็แค่ฝุ่นที่ปลิวมาตามลม ...

Same old song
Just a drop of water in an endless sea
All we do Crumbles to the ground, though we refuse to see
Dust in the wind
All we are is dust in the wind, ohh
ไม่ต่างอะไรกับบทเพลงเก่าๆ
แค่เพียงหยดน้ำหนึ่งหยดในทะเลที่กว้างใหญ่
ทุกอย่างที่เราทำสลายร่วงลงสู่พื้น เราเองไม่อยากที่จะรับรู้มัน
..


Now, don't hang on
Nothing lasts forever but the earth and sky
It slips away
And all your money won't another minute buy
ตอนนี้ ไม่ใช้เวลาที่จะมาเศร้าโศก
ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดกาล แต่โลกและท้องฟ้าก็ยังหมุนไป
และเงินทั้งหมดที่คุณมีก็ไม่สามารถที่จะซื้อเวลาสักนาทีได้ ..

Dust in the wind
All we are is dust in the wind
All we are is dust in the wind
Dust in the wind
Everything is dust in the wind
Everything is dust in the wind
The wind

Thursday, October 11, 2007

เมื่อวันที่ต้องวิ่ง

ปกติการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าในทุกๆ เช้า ผมจะคาดการระทางและเวลาที่ใช้เดินจากทางเข้าไปยังสถานี เราสังเกตุได้จากคนที่เดินขึ้นมาก็จะพอประมาณได้ว่าเราต้องรีบแค่ไหน และตามธรรมดาถ้าเห็นว่าไม่ทันแล้ว ผมก็จะไม่ใช้พลังงานโดยสิ้นเปลือง ไม่น่าเชื่ออยู่ดีๆ ก็ต้องวิ่งโดยมีความหวังเพียว 50% ว่าจะไปทัน ก็เมื่อเช้าหน่ะสิครับ มีเด็กหญิงนักเรียนคนนึงวิ่งๆ หยุดๆ เหมือนอยากจะทันแต่ก็กลัวไม่ทัน ได้โอกาสทดสอบทฤษฏีของผมแล้ว เลยพยายามวิ่งจะแซงเธอไป เธอก็ไม่ยอมครับวิ่งแข่งกับผม (คนอื่นเห็นคงคิดว่าพ่อลูกคู่นี้มาวิ่งแข่งอะไรกัน เหอะๆ) ไม่น่าเชื่อว่าจะเกือบทันครับ ผมหน่ะไม่ทันแน่ๆ เพราะตามหลังเธอมาทิ้งระยะราวๆ 5 เมตรได้ แต่เสียงนกหวีดรถไฟฟ้าก็แจ้งเตือนปิดประตูตอนนี้ระยะทางเหลืออีกประมาณ 10 เมตร ผมลุ้นให้เธอทัน แต่ดันมีเจ้าหน้าที่รถไฟฟ้ามาขวาง เธอเลยโดดเข้าไปไม่ทัน ผมเหนื่อยมากคงเพราะใช้พลังงานเยอะในระยะเวลาสั้นๆ เหมือนวิ่ง 100 เมตร พอรถขบวนถัดมามาถึง ผมสังเกตุว่าเธอหายใจหอบ แสดงว่าคงเหนื่อยเหมือนกัน เห็นเธอหันมาแว๊บๆ เธอคงนึง "ไอ้แก่นี่ มันบ้าอะไรวะ อยู่ดีๆ มาพาเราวิ่งซะเหนื่อย .."

Wednesday, October 03, 2007

Wake Me Up When September Ends

Song: Wake Me Up When September Ends
Artist: Green Day

Summer has come and passed
The innocent can never last
wake me up when september ends
ฤดูร้อนมาถึงแล้วก็ผ่านไป
แต่ความไร้เดียงสายังไม่หมด
ช่วยปลุกฉันทีเมื่อกันยา ผ่านพ้น

like my fathers come to pass
seven years has gone so fast
wake me up when september ends
เหมือนกับพ่อที่มาแล้วก็จากไป
7 ปีช่างผ่านพ้นไปรวดเร็ว
..

here comes the rain again
falling from the stars
drenched in my pain again
becoming who we are
ฝนเริ่มจะตกอีกแล้ว
มันล่วงหล่นจากดวงดาว
ชะล้างความเจ็บปวดของฉันอีกหน
กลับสู่ตัวตนที่เราเป็น

as my memory rests
but never forgets what I lost
wake me up when september ends
ดุจความทรงจำที่หยุดนิ่ง
แต่ก็ไม่เคยลืมสิ่งที่สูญเสียนั้น
...

summer has come and passed
the innocent can never last
wake me up when september ends

ring out the bells again
like we did when spring began
wake me up when september ends
เสียงระฆังแว่วมาอีกครั้ง
อย่างที่เคยเป็นเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง

here comes the rain again
falling from the stars
drenched in my pain again
becoming who we are

as my memory rests
but never forgets what I lost
wake me up when september ends

Summer has come and passed
The innocent can never last
wake me up when september ends

like my father's come to pass
twenty years has gone so fast
wake me up when september ends
wake me up when september ends
wake me up when september ends

--
ข้อมูลจาก wiki
ด้วยความที่อยากรู้ ว่าทำไมต้องเป็นกันยายน (September) ทั้งๆ ที่มีตั้ง 12 เดือนให้เลือกใช้
ก็ค้นพบว่าผู้แต่งสูญเสียพ่อไปในเดือนนั้น การก้าวผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวด มันช่างแสนยากลำบากและยาวนาน
ทุกครั้งที่กาลเวลาเวียนมาถึง ความทรงจำของความเจ็บปวด มันก็ยังส่งผลถึงสภาภาพปัจจุบัน
... เมื่อไหร่นะ เดือน Novermber มันจะผ่านพ้นไปเสียที ....

Saturday, September 29, 2007

หรือต้องเลิกกินเหล้าซะแล้ว

ตลอดระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยห่างหายจากวงเหล้า ของเพื่อนๆ อาจจะเพราะมีเพื่อนหลายกลุ่มทำให้แม้นบางกลุ่มจะเงียบหาย แต่ก็มีกลุ่มอื่นโดดเด่นขึ้นมา แน่นอนผมไม่ได้ติดเหล้า แต่บรรยากาศในวงเหล้ามันก็สนุกเย้ายวนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ การสนทนาออกรสชาติ ก็คงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลนี่แหละ ปัญหาคือตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมา ผมมีปัญหากับการกินเหล้าหรือเบียร์ ปัญหามันไม่ได้เกิดระหว่างกิน แต่มันเกิดในวันรุ่งขึ้น คนกินเหล้าอาจจะมองว่าคงเป็นอาการแฮงก์ แต่ผมทดสอบดูแล้ว มันไม่ใช่ อาการปวดหัวจะอ๊วกแหล่มิอ๊วกแหละ มันก็คล้ายๆ กัน แต่ผมไม่มีอาการหนักหัว อย่างที่อาการแฮงก์พึงมี สองสามครั้งหลังผมทดลองลดปริมาณการกินลง จะล่าสุดเมื่อวานกินเบียร์ไปขวดเดียว อาการไม่ต่างจากกินไปสี่ขวดเลย แย่แล้วตู ผมคิดว่า คงต้องหยุด หรือไม่ก็เลิกไปเลย ถึงผมจะเป็นคนดื้อด้านยังไง แต่การพาตัวเองเข้าสู่ความทรมาณซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันดูจะเป็นการกระทำที่โง่ เกินไปหน่อยซะหล่ะมั๊งเนี๊ย ....

Friday, September 28, 2007

Working Class Hero

Tile :John Lennon - Working Class Hero

As soon as your born they make you feel small,
By giving you no time instead of it all,
Till the pain is so big you feel nothing at all,
A working class hero is something to be,
A working class hero is something to be.
ทันทีที่คุณเกิดเค้าทำให้คุณดูไร้ค่า
และให้เวลาเพียงเล็กน้อยกับคุณแทนที่จะเป็นทั้งหมด
ขณะที่เผชิญความเจ็บปวดคุณกลับรู้สึกไม่มีใครเลย

They hurt you at home and they hit you at school,
They hate you if you're clever and they despise a fool,
Till you're so fucking crazy you can't follow their rules,
A working class hero is something to be,
A working class hero is something to be.
พวกเค้าโกรธเคืองคุณที่บ้าน และยังตีคุณที่โรงเรียน
พวกเค้าเกลียดคุณเมื่อคุณแสดงความฉลาด และเค้ามองมันว่าเป็นความโง่เขลา
ขณะที่คุณไม่สามารถทำตามข้อกำหนดบ้าๆ นั้นได้

When they've tortured and scared you for twenty odd years,
Then they expect you to pick a career,
When you can't really function you're so full of fear,
A working class hero is something to be,
A working class hero is something to be.
พวกเค้าจะกดดันและพร่ำบ่นเมื่อคุณอายุยี่สิบ
แล้วก็คาดหวังว่าคุณจะไปหางานทำ
เมื่อคุณไม่ได้ประสบผลสำเร็จอย่างนั้น คุณจะเต็มไปด้วยความกลัว

Keep you doped with religion and sex and TV,
And you think you're so clever and classless and free,
But you're still fucking peasents as far as I can see,
A working class hero is something to be,
A working class hero is something to be.
ขณะที่ดำรงอยู่กับค่านิยม เซ็กส์ ทีวี
คุณคิดว่าคุณฉลาด ไม่จำเป็นต้องเรียน และมีอิสระ
แต่คุณก็ยังเป็นไอ้บ้านนอกเฮงซวยไม่ต่างจากที่ฉันเคยเห็น

There's room at the top they are telling you still,
But first you must learn how to smile as you kill,
If you want to be like the folks on the hill,
A working class hero is something to be.
A working class hero is something to be.
มันยังมีที่ว่างบนจุดสูงสุดอย่างที่พวกเค้าเคยบอกคุณ
อย่างแรกที่คุณต้องเรียนรู้ที่จำยิ้มให้กับสิ่งที่คุณทำลายมัน
ถ้าคุณคิดจะไปเป็นส่วนหนึ่ง ณ จุดนั้น

If you want to be a hero well just follow me,
If you want to be a hero well just follow me.

Monday, September 17, 2007

Murphy's law

วันนี้ผมมีนัดกับ UBC ช่อง AXN ด้วยความตั้งใจเป็นพิเศษ ก็อะไรซะอีกหล่ะครับ วันนี้ (17-SEP-2007) เป็นวันฉายตอนแรกของ Series ที่ผมติดตามดูอยู่ หลังจากจบซีซั่นสอง วันนี้เป็นวันแรกที่จะเริ่มต้นซีซั่นสาม กลับถึงบ้านจัดแจงนั่งหน้า TV พอกด remote เท่านั้นหล่ะครับ ตัวอักษรสีขาวปรากฏที่หน้าจอ "E33-04 สมาร์ทการ์ดไม่ถูกต้อง" เห้ย บ้าหรือเปล่า ไม่ถูกต้องได้ไง ก็ดูอยู่ทุกวัน เลยต้องพึ่ง customer care หลังจากโทรไปเค้าก็แนะนำให้ reset เครื่อง (ปิดแล้วเปิดใหม่ ซึ่งผมทำไปมากกว่า 3 รอบ) แนะนำให้เอา smart card ออกมาเช็ดแล้วเสียบกลับเข้าไปใหม่ (ผมทำไปแล้วทีนึง) ไม่ได้ผลพรุ่งนี้จะเรียกช่างเข้ามาดูให้ เห้ยซวยจริงๆ ดันมาเสียเอาวันนี้ จำได้สมัยเรียนอาจารย์ท่านนึงเคยพูดถึงทฤษฎีการเกิดเรื่องอับโชค อาจารย์บอกว่ามีคนบัญญัติเป็นทฤฏีขึ้นมาชื่อ Murphy's law เหอะๆ ไอ้เรื่องยังนี้มีมีทฤษฎีประกอบตลก(ร้าย) ดี มันเป็นกฏระดับโลกเชียวแหละคุณ ผมลองได้สืบตาม wikipedia ได้ความว่า "things will go wrong in any given situation, if you give them a chance" - สิ่งที่จะก่อเกิดความผิดพลาดต่างๆ มันจะเกิดขึ้นเมื่อคุณทำมัน (แปลเอง งงเองตู -_-") "If there's more than one possible outcome of a job or task, and one of those outcomes will result in disaster or an undesirable consequence, then somebody will do it that way." - ถ้ามีความเป็นไปได้มากกว่าหนึ่งอย่าง ที่จะทำให้งานมันไม่สำเร็จ แล้วมีความผิดพลาดสักอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น จะต้องมีสำคนสิน้าทำมัน แล้วมันมักจะส่งผลเสียต่อเนื่องเสียด้วยสิ .. "Whatever can go wrong will go wrong, and at the worst possible time, in the worst possible way" อะไรก็ตามที่มันจะผิดพลาด มันจะผิดพลาด แล้วมันก็มักจะเกิดในเวลาที่แย่ที่สุด หรือหนทางที่แย่ที่สุด ทำไมมันเป็นอย่างนั้นหล่ะ ทฤษฎีของผมคือความผิดพลาด scale มันไม่เท่ากับความถูกต้อง ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย มันจะเป็นจุดขบคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต่างอะไรกับชีวิตปกติของคนเรา เรานั่งรถเมล์ทุกวันใช้เวลา ราวๆ 1 ชั่วโมง มีวันนึงรถติดมหันต์ มาทำงานสาย วันนั้นดันมีเรียกประชุมด่วน เข้าประชุมสาย ตอนเย็นยันมีธุระสำคัญต้องรีบกลับอีก กลายเป็นเข้าสาย ออกเร็วอีก มันเป็นวันที่บัดซบต่อเนื่อง คงเคยๆ เจอแนวนี้กันบ้าง อย่าไปซีเรียสนัก มันเกิดกับคนทั้งโลก ผมยืนยัน ....

Thursday, August 23, 2007

เมื่อ พัดลม เสีย

ที่ห้องมีพัดลมอยู่สองตัวตัวนึงถือครองโดยน้องชายผม เป็นพัดลมที่มีขนาดแค่ 10 นิ้วได้มั้ง เดิมที่มันเป็นของผมเอง ซื้อมาใช้สมัยยังอยู่คนเดียว พอน้องชายมาอยู่ด้วยเลยยกให้มันไป แล้วตัวเองไปยืมเพื่อนมาใช้ พัดลมที่เพื่อนให้ยืมมันมีความบอกพร่องอย่างเดียวคือมันกดส่ายไม่ได้ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนมันไม่ใช้ แต่กลับใช้ตัวเล็ก (ขนาดเดียวกับที่ห้องผม) แต่ตัวที่มันให้ผมเอามาใช้ มันขนาดสัก 16 นิ้วได้ (มันคือขนาดของใบพัดกระมัง ผมเดาเอา) ยี่ห้อ Hatari ซะด้วย มันทนจริงๆ ยอมรับ ทนจนเจ้าตัวเล็กที่ยกให้น้องชายไปใช้ ต้องมีอันเป็นไปก่อน อันนั้นยี่ห้อโนเนม ใช้มาได้สามปีก่อนจะลาโลก ผมถือว่ามันทำหน้าที่ของมันดีที่สุดแล้ว เอามันไปตั้งข้างถังขยะโดยไม่ยี่หระอะไร เมื่อเสียก็ต้องซื้อใหม่ตามระเบียบ ได้โอกาสไปเยือน BigC อีกครา ตรงดิ่งไปที่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า BigC วงศ๋สว่าง ผมไม่ได้ย่างกรายมานานเป็นปีๆ หลังๆ มีการปรับปรุงใหม่ ดูจากภายนอกดูดีเลยแหละ แต่ภายใน ผมไม่คิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก ที่สำคัญแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ชั้นสองไม่ห่างจากที่ที่มันเคยอยู่มากนัก เมื่อไปถึงพบพัดลมวางเรียงกันอยู่ เกือบๆ สิบตัวได้ ขนาดใบพัดก็ตั้งแต่ 12,14,16 จนภึง 18 นิ้ว มี 3 นี่ห้องให้เลือก Mira, Imaflex แล้วก็ Hatari (ที่ผมตั้งใจมาซื้อ) แต่ราคา Hatari แพงโดดกว่าชาวบ้านพอสมควร เลยเปลี่ยนใจ imaflex ก็ได้ฟะ ชื่อก็คุ้นๅ บ้าง แต่ทันทีที่พนักงานขายมาถึง เค้าบอกผมว่า imaflex กับ mira ผลิตจากโรงงานเดียวกัน ราคาก็ถูกว่า (นิดหน่อย) แต่ก่อนเค้าจ้าง mira ทำให้ ก่อนที่ mira จะทำ brand ของตัวเอง ผมบอก "Mira ผมไม่เคยได้ยินชื่อ" เค้าบอก "พี่ชิงในชิงร้อยชิงร้านไง" ดูไม่ได้ดูรายการ tv ปกติมาจะปีกว่าแล้วเลยเถียงไม่ได้ เค้า เลยได้ที อัดผมต่อ "เนี๊ยพี่ ประหยัดไฟเบอร์ 5 เหมือนกัน" ก่อนที่จะขยับคอขึ้นๆ ลงๆ "คอก็แข็งแรง รับรองล้มคอไม่หัก" ต่อด้วย "เนี๊ยพี่ผลิดที่แถวๆ สมุทรปราการเอง มีตรา Thailand Best Buy ด้วย" (นึกในใจ ไอ้ Thailand Best Buy มันคือตราวสินค้าห่วย ไม่ใช่เหรอวะ??) ยังไม่พอ มันพร่ามต่อ "ตัวนี้ลมแรงกว่า พี่ลองไปเปิดเทียบดูได้เลยแต่ละตัว" อืมม มันแรงจริงๆ ผมเห็นว่า imaflex มีประกัน 2 ปีติดอยู่ เลยบอกไปว่า "แต่ตัวนี้ประกันสองปีนะครับ" มันรีบแย้ง "Mira ก็ประกันปีนึงนะพี่" (ผมงงเลย มึงไม่มีอะไรจะอ้างแล้วหรือเนี้ย?) ผมเริ่มรำคาญเลยบอกมันไป "ผมเอา imaflex ละกัน" มันบอก "พี่แต่ตัวนี้ทางเราไม่ดูแลนะครับ" ผมงง "ไม่ดูแลคืออะไรครับ?" , "ยี่ห้อพวกนี้ พนักงานขายเค้าไม่มี ทำให้ไม่มีคนดูแล ถ้าเสียก็ไม่มีคนดูแลให้พี่" โอ้ว พระเจ้า มันเล่นมุขนี้เลยเหรอเนี้ย ไม่มีคนดูแล ผมเข้าใจเค้านะ คืออาจจะต้องเอาไปซ่องที่ศูนย์เอง แต่ bigC ไม่ได้รับภาระพวกนี้ให้ ใครสอนการขายเอ็งมาวะเนี้ย (ผมนึกในใจ) เอาวะ อยากขายขนาดนั้น ก็ซื้อให้ตัวนึง นึกซะว่าเงินหาย 500 (ราคามัน 529) แล้วเก็บพัดลมได้ตัวนึง จัดแจงใส่กล่องลงมาจ่ายตังที่ชั้น 1 จ่ายเสร็จแบกกล่องออกมาถึงกับตะลึง มีเทศกาลลดราคาพัดลม 16 นิ้วแค่ 399, ทำใจนึกเสียว่า เราไม่รอบคอบเอง ซื้ออะไรควรจะเดินให้ทั่วก่อน แบกพัดลมขึ้นรถเมล์กลับบ้านด้วยความช้ำใจนิดหน่อย ถึงห้องประกอบเสร็จทดสอบเปิด โอ้ว... ไม่นะ รพะเจ้า ความแรงของมันมีปัญหากับผมเสียแล้ว คือมันไม่เงียบครับ แค่เบอร์ 1 มันแรงพอๆ กับเบอร์ 3 ของอันเดิม เบอร์สามไม่ต้องพูดถึง ผมคงไม่ได้มีโอกาสใช้แน่ๆ นอกเสียจากเสื้อผ้าไม่แห้ง เศร้าซื้อแพงก็แย่แล้ว ความแรงยังเป็นปัญหาซะอีก คิดน้อย ทำเร็ว ก็เป็นเช่นนี้แหละ คนเรา ....

Sunday, August 05, 2007

A lot like Love

วันนี้ได้มีโอกาสดูหนังที่อยากดูมานาน เสียดายไม่ได้ดูแต่แรก เปิดมามันก็เลยเวลาฉาย (ของ UBC) ไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ปกติถ้าไม่ทันอย่างนี้ก็มักจะเลยไปดูอย่างอื่น แต่เรื่องนี้เกรงว่ามันจะไม่ได้ออกจอบ่อย เป็นหนังตั้งแต่ปี 2005 ไม่มีที่มาที่ไป ไม่เคยมีใครมาเล่าเนื้อเรื่องให้ฟัง เป็นหนังที่อยากดูเพราะชอบชื่อเรื่องเท่านั้นเอง เป็นหนังของความรักที่ต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่คู่จะลงเอยกันได้ ความรู้สึกที่ติดค้างในใจมันทำให้การก้าวเดินไปข้างหน้าเป็นไปได้อย่างไม่ปกติสุขนัก ในบางช่วงเวลาเกิดคำถามขึ้นในใจ เขาใช่คนที่เรารักหรือเปล่านะ นางเองถามพระเอกว่า "คุณรักเธอไหม" พระเองตอบ "Well, if it wasn't love, it was a lot like it." บทพูดที่ได้รับการแปลจาก UBC คือ "ผมคิดว่าผมรักเธอนะ แต่ถ้ามันไม่ใช่ความรัก มันก็เป็นอะไรที่ไกลเคียงความรักมาก" บางครั้ง เราไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร แต่เรารู้สึกว่าถ้ามันใกล้เคียง ถ้าเราอยากให้ใครสักคนมีความสุข เค้าอยู่ในความคิดของเราเสมอ เค้าเป็นคนแรกที่เรานึกถึง เป็นคนที่เราอยากเราอะไรต่อมิอะไรให้ฟัง รู้สึกว่าเค้าเข้าใจเรา มันจะเป็นความรักไหมนะ ถ้ายังไม่ใช่ มันก็คงใกล้เคียงเลยแหละ หนังโรแมนติกทีเดียว เพลงก็เพราะ (ไปแอบหา OST มาฟังแล้ว หุหุ) พูดถึงความรัก ช่วงนี้ชอบเพลงของนักร้องสองกลุ่มมาก เพลงแรกก็ "ใครบางคนจากบนฟ้า" เพลงจาก Flure เรื่องราวของความรักที่สวยงาม ใครกันนะส่งเธอลงมาให้เจอเรา อีกเพลงก็ "เข้ากันดี" ของ Scrubb คนแบบไหนที่คุณต้องการ ถ้าไม่ใช่คนที่เข้ากับคุณได้ดี ไม่ได้กำลังมีความรักอะไรหรอก เพียงแต่ดูหนังแล้วมัน in ก็เท่านั้น ....

Sunday, July 29, 2007

วันอาสาฬหบูชา กับ อากาศทึมๆ

วันนี้อากาศเหมาะแก่การพักผ่อนอยู่กับคอนโดจริงๆไม่ว่าจะด้วยความเงียบ เพราะผู้คนทยอยกลับบ้าน (ชีวิตในคอนโดจะเงียบก็ตอนคนกลับบ้านนี่แหละครับ) อากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน วันทำนี้อะไรไปบ้างหว่า นอกจากละลายน้ำแข็งที่หนาเตอะอยู่ในตู้เย็น นั่งดูหนังไล่ตั้งแต่ Number 23 ที่แสดงโดยจิม แครรี่หนังพัวพันความตัวเลข 23 ดูแล้วก็งงๆ (อาจจะดู SubEng ด้วยแหละ) จะเปิด dict. ตามก็ไม่ทัน เลยดูๆ ไปก่อน รู้เรื่องคร่าวๆ ได้เท่านั้นจริงๆ ต่อด้วย Everything is illuminated เปิดมาเจอ คนแสดงนำคือโฟโด้แห่ง Lord of the ring. เปิดมาดูก็กลางๆ เรื่องแล้ว เลยดูๆ ไปให้มันจบ ไม่ได้สนใจอะไรมาก (ในตอนแรก) ดูไปได้สักพัก เห้ย ภาพสวยมาก เป็นวิวจากประเทศยูเครน ดูจาก preview คร่าวๆ เกี่ยวกับพระเอกตามหาคนที่เคยช่วยชีวิตคุณปู้เค้าไว้ โดยมีปู่กับหลายชาวยูเครนเป็น giude พาเดินทาง นอกจากภาพสวยแล้วผมว่าเกล็ดเล็กๆ น้อยๆ ในพล๊อตเรื่องก็สวยงามทีเดียวครับ แต่ละคนล้วนมีอดีต ทุกสรรพสิ่งส่องสว่างด้วยแสงของอดีต เราทุกคนมีอดีต เราทุกคนมีความทรงจำ ไม่ว่าจะสวยงามหรือเศร้าโศก เราก็ต้องดำรงอยู่กับมันทั้งสิ้น ...

Monday, June 18, 2007

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล (ในทัศนคติของข้าพเจ้า)

บางทีปัญหาของความไม่เข้าใจกันอาจจะเกิดจากการรับข้อมูลเพียงด้านเดียวอักคติที่มีต่อผู้ให้ข้อมูล หรือความน่าเชื่อถือโดยรวมชองผู้ให้ข้อมูลนั้นๆ ประสบการณ์ต่อผู้ให้ข้อมูลและประสบการณ์ส่วนตัวต่อข้อมูลก็มีผล ต่อการตัดสินใจต่อข้อมูลที่ได้รับ ตัวอย่างเช่น
ก. น. และ อ. คุยกันถึงเรื่องๆ นึง โดยที่ ก. และ น. เป็นเพื่อนกันข้อมูลมีการส่งผ่านระหว่าง ก. <--> อ. และ น. <---> อ. โดยที่ อ. ไม่รู้ว่า ก. และ น. ก็มีการส่งข้อมูล ความถูกต้องของข้อมูลจะถูกตรวจสอบได้สูงสุด หากเกิดความแตกต่างระหว่าง ก. <--> อ. และ น. <--> อ. การการเปรียบเทียบเนื้อข้อมูลที่ น. และ ก. ได้รับจาก อ. ส่วนข้อมูลจะบิดเบือนได้ถ้า ก. และ น. เตี๊ยมข้อมูลกัน และส่งให้ อ. และจะเกิดการบิดเบือนกลับไปยัง ก. และ น. ถ้าข้อมูลเริ่มบิดเบื่อนตั้งแต่ อ.
** สมมุติว่า อ. เชื่อใจ น. แต่มีอคติกับ ก. แล้วข้อมูลถูกพิจารณาจากบุคลที่ 3 ที่ไม่ใช่ ก. น. หรือ อ. คิดง่ายๆ
1.) ข้อมูลที่ได้จาก อ. เกิดการบิดเบือน จะเกิดขึ้นเมื่อ มีการเตี๊ยมข้อมูลระหว่าง ก. และ น. หรือไม่ก็เป็นข้อมูลที่ อ. สร้างขึ้นมาเอง
2.) ข้อมูลที่ได้จาก ก. หรือ น. ไม่สามารถเชื่อถือได้ในทันที เพราะอาจเกิดการบิดเบือนที่เกิดจากการเตี๊ยมกันได้
3.) ข้อมูลจากบุคคลที่ 3 ที่ต่อมาจาก ก. น. หรือ อ. โดยตรงอาจจะเกิดความพลาดได้เช่นเดียวกับข้อ 1 และ 2


- แล้วข้อมูลที่ถูกจะหาได้ยังไง?
คำตอบคือ อาจจะไม่มี หรืออาจจะได้รับข้อมูลที่ถูกในทันที

- สมมุติเราเชื่อ อ. แล้วข้อมูลนั้นไปตัดสิน น. และ ก.
ออกจะไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่ ถ้าเราไม่พิจารณาข้อมูลอย่างเดียวกันที่ได้จาก น. และ ก.

- อย่างนี้ดูไม่ยุติธรรมกับ อ. มั๊ย
ไม่เชิงซะทีเดียว การได้ข้อมูลทั้งหมดจากทุกฝ่าย สามารถทำให้เราพิจารณาความเป็นจริงได้ดีกว่า ถึงท้ายที่สุด เราจะใช้สามัญสำนึกส่วนตัวในการตัดสินความถูกต้องของข้อมูลก็ตาม

- แล้วเกิดแต่ละคนพูดมาไม่เหมือนกัน?
มันยังดีเสียกว่าไม่ให้โอกาสเค้าได้นำเสนอข้อมูล แม้นเราจะไม่เชื่อ แต่เราก็ไม่ควรจะไม่ฟัง

- อย่าพยายามใช้ข้อสอบแบบบรรยายกับ อ. ไปเปลี่ยนเป็นตัวเลือก สำหรับ น. หรือ ก.
เช่น อ. เล่าว่าเมื่อวันเสาร์ ก. มาเล่าให้ฟังว่า ...
แล้วเอาไปตรวจสอบโดยไปถาม ก. หรือ น. ว่า เมื่อวันเสาร์ ได้คุยกับ อ. หรือเปล่า (โดยให้ ก. หรือ น. ตอบได้เพียงว่า คุย หรือไม่คุย) การที่ น. หรือ ก. ไปคุยกับ อ. ไม่ได้พิสูจน์ว่าทุกอย่างที่ อ. บอกมา เป็นความจริง

บางทีการโดนตำหนิมันก็แย่แล้ว การไม่บอกด้วยว่าทำผิดอะไรมันเลวร้ายกว่า โจทก์ต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยรับทราบ เพื่อให้จำเลยโต้แย้ง หรือแม้แต่คำพูดที่ว่า "ผมรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง" ก็ไม่ได้หมายความว่า "ทุกอย่างที่ผมรู้มันเป็นเรื่องจริง"...

Sunday, June 10, 2007

มหกรรมวันดูหนัง

ตื่นมาเกือบๆ เที่ยง เปิด TV ดูเริ่มจาก CSI สองตอนตอนละชั่วโมง CSI ฉายทางช่อง AXN ทาง TrueVision 25 รอบบุฟเฟ่สามตอนติด แต่ตอนที่สามไม่ได้ดูเพราะเป็นตอนเก่า ต่อด้วย Babel นำโดยแบร๊ดพิดกระสุนนัดเดียวพัวพันกับชีวิตคนทั่งที่อยู่กันคนละทวีป หนังชวดอึดอัดปวดหัวดีทีเดียว กลับมาที่ UBC แม็คกายเวอร์ พึ่งรู้เหมือนกันแฮะว่าซีรีขวัญใจเราสมัยเด็ก มันมี version ที่ทำเป็นภาพยนต์ด้วยแฮะ ต่อด้วย Elizabethtown หนุ่มนักออกแบบรองเท้าประสบปัญหาโดนไล่ออกจากงานเนื่องจากทำให้บริษัท ขาดทุนมหาศาล พร้อมกับที่พ่อเสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติ เค้ามีหน้าที่ต้องเดินทางไปรับศพพ่อ แล้วการเดินทางครั้งนี้เองที่เปลี่ยนชีวิตเค้าตลอดไป (วลียอดฮิต) หนังนำแสดงโดยออเรนโด บลูม เอลส์หนุ่มสุดหล่อจาก LOTR และนางเองสาว คริสเตียน ฮันส์ ผมพึ่งพบความสวยน่ารักของเธอก็จากเรื่องนี้แหละครับ ขณะที่เขียน blog ดู The Polar Express ไปด้วย (มีฉายเวลาเดียวกัน คือ Shadow Man [Action], Casanova [Drama]) หลังจากนี้ยังมี the ring two อีก ยังตัดสินใจไม่ถูกเลยแฮะ จะดูดีหรือเปล่า แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เห้อ ...

-- มีคนกล่าวถึง Elizabethtown ด้วยแฮะ เผื่ออยากหามาดู --
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=sorry-anyway&group=4&date=05-05-2007&gblog=8

Wednesday, May 16, 2007

การเดินฟังเพลงจากหูฟังทำให้เสียสมาธิ

ไม่รู้ใครเป็นกันหรือเปล่าเวลาเดินแล้วฟังเพลงไปด้วย มันทำให้เสียสมาธิ หรืออย่างน้อยก็ทำให้ปฏิกริยาตอบสนองต่อสิ่งที่เจอมันจะช้าลง (มากน้อยอาจจะแล้วแต่คน) เมื่อวานนึกอยากเดินไปร้านขาย CD/DVD แถวๆ แยกเตาปูน ชื่อร้าน ลูกหมี เป็นร้านแนวๆ DJ Siam ออกจะทึมๆ นิดหน่อย แต่ก็หาของที่อาจจะหาจากร้านอื่นไม่ได้ (จะไปซื้อปาล์มมี่ The Rhythm of the Times concert จะว่าไปแล้ว ก็ หาซื้อได้ทุกร้าน ^_^) เอาเหอะ จะว่าไปร้านมันสะดุดตา วันนี้หาข้ออ้างเข้าไปสอดส่ายสายตาซะหน่อย ระหว่างทางจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ ไปยังแยกเตาปูน ไม่ใช่ใกล้เลยครับ แต่เดินๆ เพลินๆ ก็ไม่ถึงกับลำบากอะไรมาก (สามารถนั่งรถเมล์ไป ได้ ป้ายเดียว - ตูดันเดิน -_-" ) วันนี้ฟังเพลงจากโทรศัพท์แทบจะตลอดการเดินทาง ตอนเดินไปร้าน CD ที่ว่า ก็เหมือนกัน เส้นทางเรียบขอบกำแพงบริษัทปูนยักใหญ่ ต่อด้วยสะพานข้ามแยก เส้นทางเจ้าปัญหาเป็นเส้นทางจากใต้สะพานข้ามแยกตรงไปยังคลองปะปาเป็นขอบฟุตบาตขนาดสองคนเดินสวนกันพอดี (ต้องเป็นตรงที่ไม่มีเสาไฟฟ้านะครับ) ซ้ายเป็นถนนเพื่อไปกลับรถใต้สะพาน ด้านขวามือเป็นตึกแถวโบราณ สังเกตจากประตูบานพับที่เป็นไม้เหมือนกันแทบทุกหลัง มันค่อนข้างจะค่ำประกอบกับความไม่แน่นอนของฟ้าฝน ประตูส่วนใหญ่จะปิดอยู่ ผมเดินก้าวเท้าด้วยจังหว่ะสม่ำเสมอ "Sometimes when I'm alone I wonder Is there a spell that I am under Keeping me from seeing the real thing" ผมฟังเพลงอยู่เพลงเดียวตลอดการเดินทางเที่ยวกลับ Love Hurts ของ Incubus เนื้อเพลงกล้องกังวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า "Love hurts But sometimes it's a good hurt And it feels like I'm alive .."

ทันใดนั้นเอง ประตูเจ้ากรรมก็เปิดออกมาตรงหน้าผมพอดี ให้ตายเหอะ มันกระแทกหน้าผมเข้าอย่างจัง ผมผงะ เด็กหญิงที่เปิดประตูออกมาก็ตกใจเช่นเดียวกัน ผมจ้องหน้าเธอเขม็ง ไม่รู้ว่าหน้าผมมันแสดงความบึ้งตึงหรือเปล่า แต่สมองผมมันแสดงความงุนงงมากกว่า เวลาผ่านไปสักหลายวินาทีได้ แต่ผมว่าผมและเธอรู้สึกว่ามันยาวนานกว่านั้น กว่ะจะตั้งหลักได้ ผมถามเธอว่า เป็นไรใช่มั๊ย? เธอไม่ตอบแม่เธอชะโงกหน้าผ่านประตูออกมา ขอโทษขอโพยผมใหญ่ ผมบอกไม่เป็นไรซ้ำแล้วซ้ำเล่าพอๆ กัน ตอนเดินผ่านมาผมเหลือบไปมองเด็กคนนั้น เธอยังอยู่ในอาการตกใจ ผมบอกเธอว่า พี่ไม่เป็นไร แล้วก็เดินจากมา คิดดูอีกทีผมอาจจะทำหน้าโกรธให้เธอตกใจ มากกว่าตกใจ ที่เปิดประตูมาโดนหน้าคนซะอีก เหอะๆ

สรุปได้ DVD มาสองแผ่นปาล์มมี่ 290 บาท ติด T-Bone มาอีกแผ่น 350 บาท (แผน indy มักจะแพงกว่าแผ่นจากบริษัทใหญ่ ทั้งๆที่การบันทึก ก็ออกจะห่วยกว่าเห็นๆ) รถเมล์มาพอดี กระโดดขึ้นรถ หยิบหูฟังที่หลุดจาหูมานาน เสียบเข้าใหม่ เพลงเดิม ยังบรรเลงซ้ำๆ ต่อไป "Without love I won't survive ..."

Saturday, May 05, 2007

ตกลงคือพรมลิขิตใช่ไหม ที่เขียนให้เป็นอย่างนั้น ...

เวลามันผ่านไปเนินนานแค่ไหนกัน นี่ผมนั่งรถเมล์คันนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ รู้ตัวอีกทีก็ด้วยเสียงร้องเสียดแทงอารมณ์ผ่านออกมาทางลำโพงบนรถ ปอ.97 สีครีมที่ผมนั่ง จำได้ว่าผมใช้เวลารอรถเมล์นานพอดู หลายๆคันผ่านไปโดยที่ผมยังไม่ได้ขึ้น วันนี้ผมอยากนั่ง แต่ผมเริ่มก้าวเท้าขึ้นมาบนรถเมล์คันนี้ ก็ไม่ได้มีที่นั่งอย่างที่ตั้งใจ แต่ด้วยความที่ผู้คนยืนกันหลวมๆ และธรรมชาติของรถเมล์ ยิ่งใกล้จะสุดสาย คนก็มีแต่จะทยอยลง อีกป้ายหรือสองป้ายผมก็คงจะได้นั่ง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จิตใจผมเหมอเลยไปไกล ทั้งยังไม่รู้ที่ๆ จิตใจดวงนี้ลอยไปด้วยซ้ำ ผมมีความกังวลบางอย่างกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน กังวลว่าสิ่งที่ผมให้คำปรึกษากับเพื่อนคนนึงไป มันจะไปทำร้ายเพื่อนอีกคนเข้า และมันก็ควรต้องเป็นอย่างนั้นเสียด้วยสิ "ตกลงคือพรมลิขิตใช่ไหม ที่เขียนให้เป็นอย่างนั้น ตกลงให้เรารักกันใช่ไหม ..." ด้วยเนื้อหาของเพลง หรือด้วยเสียงร้องของนักร้องนำวงบิ๊กแอสกันนะ ที่ทำให้เพลงนี้ดังติดคลื่นวิทยุขนาดนี้ ถ้าถามผม ผมคงต้องว่าด้วย กลไกการตลาด การทำโปรดักชั่น และความถี่ในการเปิด วันนี้เพลงนี้มันฉุนผมเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริง บนเส้นทางที่ผ่านไปมาหลายหน จนชาชินที่จะเหลียวมองความเป็นไปข้างๆ ทาง

เชื่อเรื่องพรมลิขิตไหม? เป็นคำถามที่เคยถูกถามมาหลายครั้ง ทั้งที่คำตอบเป็นไปได้เพียงเชื่อ หรือไม่เชื่อ แต่ผมก็แทบจะไม่เคยตอบซ้ำกันเลย "มีคนเป็นล้านคน ฉันว่าเหตุผลจริง ๆ ที่เราเจอกัน จากคนไม่เชื่ออะไร สุดท้ายก็ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ตกลงคือพรมลิขิตใช่ไหม " เนื้อหาของเพลงวนๆ อยู่อย่างนั้น อะไรกันเล่าที่เรียกว่าพรมลิขิต เราเจอคนที่เราไม่คิดว่าเราจะเจอ การรู้จักที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวล้วนเป็นพรมลิตหล่ะสิ หรือมีการเจอหรือต้องการรู้จักแบบวางแผนไว้ด้วย? ถ้ากรณีคลุมถุงชนหล่ะไม่เป็นพรมลิขิตหรอกหรือ หรือพ่อแม่ลิขิต พ่อแม่ไม่ใช่พระพรมของลูกหรอกหรือ? ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว วกวน บางครั้งการลิขิตกลับทำให้เราได้เพียงรู้จักคุ้นเคย แล้วก็ลิขิตต่อไปอีกให้มีอันต้องแยกทาง ด้วยปัญหารายล้อม ไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางแห่งความรักได้ เราทุกคนล้วนก้าวเดินตามเส้นที่มีการลิขิตไว้เช่นนั้นหรือ?

ปัญหาหนักอกขอผมมันเริ่มมาจากการให้คำปรึกษากับแฟนเพื่อน ถึงแม้ปัจจุบันจะเป็นเพื่อนกันแล้ว แต่การเรียกว่าแฟนเพื่อน มันก็ให้รายละเอียดที่มาของการรู้จักกันได้ดี หล่อนถามผมว่าจะทำอย่างไรดี หล่อนรักเพื่อนผมมาก แต่ติดปัญหาตรงที่บ้านหล่อนไม่ยอมรับเพื่อนผม ความแตกต่างในเรื่องศาสนาที่นับถือเป็นเรื่องใหญ่ หล่อนถามต่ออีกว่าถ้าจะบอกเพื่อนผมว่าเป็นเพื่อนกันจะดีมั๊ย แท้จริงปัญหานี้มันคาราคาซังมาเนิ่นนาน นานจนผมจำไม่ได้ แต่เจอหน้าทั้งคู่ผมก็รู้อยู่ในใจว่าปัญหานี้มันไม่เคยหายไปไหน ซ้ำยังตามมาหลอกหลอนอยู่เนืองๆ ผมถามหล่อนไปว่าเพื่อนผมก็ดูพร้อมจะเปลี่ยนศาสนานะ หล่อนบอกว่าที่บ้านหล่อนไม่ยินดีถ้าการเปลี่ยนศาสนา ไม่ได้เปลี่ยนมาด้วยความศัทธา ผมถามหล่อนว่าแล้วการที่เค้าที่ศัทธาในตัวหล่อนนั้นเล่า ไม่เรียกว่าศัทธาหรอกหรือ หล่อนบอกว่าถ้าเปลี่ยนศาสนามมาก็รอให้พ่อหล่อนตายก่อนค่อยแต่งกัน หล่อนบอกว่าพ่อหล่อนยืนยันอย่างนั้น ผมบอกหล่อนไปว่า งั้นก็พูดให้เพื่อนฟังว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร (ซึ่งผมมั่นใจว่าเพื่อนผมรู้รายละเอียด ขาดแต่ว่า มันไม่ยอมเข้าใจ) การคบกันต่อไปแบบนี้ดูจะไม่มีจุดหมาย ผมยังแนะนำหล่อนไปอีกว่าการเขียนเป็น email ไปบอกก็ดีเหมือนกัน เพราะเราจะได้ซ่อนเร้นอารมณ์ได้ ทั้งผู้อ่านก็ยังสามารถที่จะรับรู้รายละเอียดได้ครบถ้วน โดยที่ไม่ต้องคอยโต้แย้ง ผมอ้างว่าผมเข้าใจหล่อน ผมยังพาดพิงไปถึงความรัก หากมันสูงส่งจริงอย่างที่ใครๆ เทิดทูน ยกย่องแล้วหล่ะก็ คนที่เชื่อมั่นในความรัก ก็ควรจะดีใจ หากอะไรก็ตามที่มันนำมาซึ่งความสุขของคนที่เรารัก หล่อนบอกว่า วันพรุ่งนี้จะพูดกับเพื่อนผม ...

เมื่อเช้าตื่นมาเจอ miss call จากเพื่อนคนนึงหลายครั้ง ผมไม่ได้รับ ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้องแล้ว หากมันมาเคาะประตูเรียก และบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผม หรือต้องการให้ผมนั่งกินเหล้าเป็นเพื่อน ผมไม่มีเหตุผลที่จะบ่ายเบียง ผมพร้อมแล้วถ้าสิ่งใดๆ ที่ผมทำไปเมื่อคืน มันส่งผมมาถึงเย็นอีกวัน หรือ มันจะเป็นพรมลิขิต .. "ตกลงคือพรมลิขิตใช่ไหม ที่เขียนให้เป็นอย่างนั้น .." เสียงร้องของบิ๊กแอส ยังวนเวียนอยู่ในหัวผม ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เปิดทีวี หรือแม้แต่วิทยุที่ห้อง...

Saturday, April 28, 2007

คนที่อ่อนแอ อยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้ (อย่างมีความสุข)

คุณเป็นคนอ่อนแอหรือเปล่า? คุณเป็นคนยังไงก็ได้ ใครอยากทำอะไรก็ทำ ขอให้ไม่เกี่ยวกับคุณ หรือแม้แต่บางเรื่องที่กี่ยวกับคุณ คุณก็จะไม่ถือสาหาความมาก คุณคิดว่ายอมๆ ไปเถอะ ไม่อยากวุ่นวาย คุณทำอะไรแต่ในใจ ภายในความคิด ไม่กล้าที่จะทำมันเพราะกลัวจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน กลัวผลกระทบที่เกิดขึ้น คุณคิดว่าคุณเป็นคนที่แคร์ความคิดคนอื่นเสมอ คุณคิดว่าคุณเข้าใจในสิ่งที่เค้าทำ ถึงแม้มันจะส่งผลที่ไม่ดีต่อตัวคุณ คุณเก็บงำความรู้สึกไม่ดีไว้ แทบจะไม่เคยมีใครล่วงรู้ถึงความเศร้าของคุณ คุณทำให้มันดูดี ดูไม่แย่ ทั้งที่ในใจกลับสับสน คุณเป็นอะไรหล่ะ ถ้าไม่ใช่คนอ่อนแอ ที่ไม่สมควรอยู่ในโลกแบบนี้ สังคมแบบนี้ วัฒนธรรมแบบนี้ หรือรายล้อมไปด้วยผู้คนที่มีความคิดแบบนี้ อย่าดำรงอยู่ด้วยความคิดที่จะทำให้ถูกใจทุกคนอยู่เลย ในเมื่อคุณก็รู้ว่าไม่มีใครพอใจกับอะไรได้ทุกเรื่องหรอก วันนึงสิ่งที่เรียกว่าดี อะไรที่เป็นความพอใจ มันย่อมแปรเปลี่ยนไป แต่ก็เท่านั้นแหละ คุณก็ยังพอใจที่จะทำเยี่ยงคนอ่อนแอ ไม่หรอก มันไม่ใช่ความผิดของคุณ แน่นอน ...

Sunday, April 22, 2007

ร้านรับซื้อของเก่า

ในระหว่างที่นั่งรถเมล์ไปทำงาน เส้นทางที่ต้องผ่านร้านรับซื้อของเก่า หลายๆ ครั้งที่มันบังเอิญสะดุดตาผมขึ้นมา ซ้ำยังกระตุ้นความทรงจำในวัยเด็กให้กระจ่างชัดราวกับเด็กคนนั้นยังไม่ได้โตจนกลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตจำเจในมหานครใหญ่แห่งนี้เลย อะไรทำให้เราระลึกถึงความทรงจำเก่าๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะเราแก่? ว่ากันว่าคนแก่มักจะคุยแต่เรื่องอดีต ก็แหง๋แหละ อนาคตมันมีไม่มากพอที่จะให้คำนึงถึง แต่อดีตที่ผ่านมา มันช่างยาวนานจวบจนย่างเข้าวัยชรา แต่สำหรับผมอนาคตมันก็ยังยาวนานควรค่าแก่การคิดถึง ส่วนอดีตก็มีหลายเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำ อย่างเช่นร้านขายของเก่าที่ว่า สมัยเด็กผมมักจะเป็นลูกมือคนสำคัญของย่าในการนำกล่องกระดาษพับรวมกัน แล้วใส่รถเข็น เดินทางไปยังร้านขายของเก่า เพื่อเปลี่ยนจากขยะให้กลายเป็นเงิน ผมชื่นชอบงานนี้เป็นพิเศษ นอกจากจะได้รับส่วนแบ่งจากย่าแล้ว (เรียกว่าย่าได้ส่วนแบ่งจากผมน่าจะเหมาะกว่า เพราะส่วนใหญ่แกจะให้ผมทั้งหมด) ผมยังได้มีโอกาสไปสัมผัสสถานที่ ที่เต็มไปด้วยของแปลกตา ของเล่นเก่าๆ ของใช้เก่าๆ บ่อยครั้งถ้ามีสินค้าสะดุดตา ผมก็จะกลายเป็นลูกค้าร้านขายของเก่าไปด้วยในคราวเดียวกัน ผมเชื่อว่ามีเด็กผู้ชายหลายๆ คนเป็นเหมือนผม พวกนิสัยชอบรื้อค้น แกะโน่น รื้อนี่ ผมยังมองว่ามันนิสัย ที่ดี นิสัยของนักวิทยาศาสตร์ (ย่าไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เพราะมันนำมาซึ่งความเลอะเทอะสกปรก) อย่างน้อยวิศวกรไฟฟ้า คนนี้ ก็มีพื้นฐานมาจากการรื้อค้นพวกนี้แหละครับ ...

Friday, April 20, 2007

เหตุการณ์ระทึกขวัญ (คนอื่น)

เมื่อวานระหว่างกำลังสั่งก๊วยเตี๋ยวกิน เกิดเหตุการไม่คาดฝันหม้อแปลงระเบิด (เรียกระเบิดแล้วกัน ไม่รูจะเรียกอะไร มันไม่มีเสียงตูมตาม แค่เกิดการสป๊าก แล้วมีประกายไปออกมา) ทำให้ไฟดับเป็นหย่อมๆ ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ทำไมบ้านโน้นดับ บ้านนี้ไม่ดับบังเอิญร้านที่ผมกินมันดับ คนขายมัวแต่เอะอะด้วยความไม่เข้าใจ ระแวกร้านเธอดับไปสามร้านรวมถึงร้านเธอด้วย มันไม่ได้ดับทั้งหมด มันไม่มืด แต่ก็ทำให้ผมต้องรอกินก๊วยเตี๋ยวนานขึ้นอีกอึดใจ ก่อนเธอจะคิดได้ว่าควรจะขายของก่อน อาการดับแบบนี้ไม่ค่อยเกิดที่บ้าผมเท่าไหร่ เพราะถ้าดับ มันจะดับเป็นวงกว้างพอสมควร อาจจะทั้งซอย หรือไม่ก็ทั้งตลาด ผมไม่ได้สงสัยหรอก ว่าทำไมมันไม่ดับทั้งหมด จริงๆ แล้วมันก็จะดับเฉพาะบ้านไหนที่บริโภคไฟจากหม้อแปลงตัวนั้นแหละครับ ไม่มีผลกับระบบโดยรวม เหมือนท่อประปาแตก บ้านที่รับน้ำหลังจากจุดที่แตก ก็จะได้รับผลกระทบ หม้อแปลงทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนแรงดันของกระแสไฟฟ้าครับ ระบบส่งพลังงานด้วยสายไฟ จะมีหม้อแปลงเป็นหัวใจที่สำคัญทีเดียวครับ แล้วทำไมต้องแปลงไฟไปๆ มาๆ มันเป็นเรื่องของการคงสภาพของพลังงานครับ สายไฟที่เราเห็นอยู่บนยอดเสาสูงๆ จะมีแรงดัน ถึง 115,000 volts เชียวนะครับและอาจจะมากกว่านั้นในระบบสายส่งบางประเภท ส่วนเจ้าพวกที่บนยอดเสาร์ในเมืองก็อยู่ที่ 22,000 volts แต่พอมาอยู่ในบ้านเราแล้วมันก็เหลือ 220 volts ตามมาตรฐานอของบ้านเรา (ในบางประเทศก็อยู่ที่ 110v) แล้วมันลดการสูญเสียพลังงานยังไง? พลังงานมันเกิดจากการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าครับ แล้วก็เคลื่อนที่ภายในสายส่ง มันก็มีพลังงานสูญเสียอันเนื่องมากจากความต้านทานของสายส่ง ความต้านทานมากหรือกระแสมาก ก็จะทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานมาก การลดการสูญเสียก็ทำได้โดยการลดอย่างใดอย่างนึง กานลดความต้านทานภายในสายเป็นเรื่องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายครับ เค้าก็เลยเลือกลดกระแสให้มันไหลน้อย ในระบบไฟฟ้าพลังงานไฟฟ้าเกิดมาก การคูณกันของกระแสกับแรงดัน ดังนั้นถ้าเราเพิ่มแรงดันให้มาก กระแสมันก็จะน้อย เนื่องจากพลังงานมันเท่าเดิมครับ ตอนนี้แหละครับ เจ้าหม้อแปลงที่ว่ามันอยู่ในส่วนนี้แหละครับ

สังเกตไหมครับว่าสายที่มันอยู่บนเสาร์ไฟฟ้า มันมี 3 เส้น? ปกติไฟมันจะส่งกันไปเป็น 3 เฟส และ 1 กราว เครื่องใช้ไฟฟ้าเรามันต้องการ 220v ก็จะเอาเฟสใดเฟสนึงจับคู่กับกราว ก็จะได้แรงดัน 220v แต่ก็มีพวกเครื่อจักรใหญ่ๆ อาจจะต้องการใช้ทั้งสามเฟสเลยก็มีครับ

ผมร่ำเรียนมาโดยตรงด้านนี้แต่ก็ยังไม่เคยทำงานเกียวกับมันเลย มันเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงน้อยมาก ผมเคยคิดด้วยซ้ำว่าไฟฟ้ามันมีอะไรวะ ไม่มอเตอร์ ก็หม้อแปลง ตั้งแต่ยุกต์ไหนๆ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ อาจจด้วยความใหญ่ของระบบ ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดน้อย เหมือนช้างที่ดูเชื่องช้ากว่าหนู เรื่องมันเป็นเรื่องยากและซับซ้อนเหมือนกัน บางทีคุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้หรอกครับ ผมคงไม่บ่นถึงเหมือนกัน ถ้าเพียงเพราะผมไม่ได้เรียนวิชาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ทุกวันนี้เป็นผู้ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวครับ อะไรๆ มันอาจจะเปลี่ยแปลงไปจากสิ่งที่ผมเคยเรียนแล้วก็เป็นได้ บางทีได้พูดถึงมันบ้างก็รู้สึกดี วันก่อนเจอเพื่อน ทักมันคำแรกเลยกะให้มันประทับใจ "มึงตัดผมแล้วเหรอวะ" มันบอก "กูตัดมาเป็นอาทิตย์แล้ว วันนั้นเจอมึง ก็ตัดแล้วมึงไม่ได้สังเกตุเหรอวะ" หึหึ ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอกครับ บางครั้งสิ่งที่ทำไปมันก็ไม่ได้ผลอย่างที่คิดหรอก :P

Sunday, April 15, 2007

แสงศัตวรรษ

ณ. วันเวลานี้ ยังมีปัญหาคาราคาซังระหว่างกองเซ็นเซอร์กับผู้กับกับภาพยนต์เรื่อง 'แสงศัตวรรษ' (ภาพยนต์โดย คุณ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เคยทำหนังเรื่องสัตว์ประหลาด คว้ารางวัลจากต่างประเทศมาแล้ว แต่ผมเอง ไม่เคยดูหนังของเค้าหรอกครับ) ปัญหาคือหนังเรื่องล่าสุดที่ว่า จริงๆ ก็ได้ผ่านตาชาวโลกมาบ้างแล้วเหมือนกัน แต่พอจะลงโรงฉายจริง (ได้ข่าวว่าเป็นโรงภาพยนต์ในเครือเมเจอร์เพียงสองโรงเท่านั้น) กลับไม่ผ่านการเซ็นเซอร์ด้วยเงื่อนไขใจความ 4 ประเด็นหลักๆ คือ ภาพในหนังฉากพระเล่นกีต้า พระเล่นเครื่องร่อน หมอดื่นเหล้า หมออวัยวะเภทแข็งตัว ได้ติดตามสาระของเรื่องพวกนี้เบื้องต้น มันก็น่าขันดีสำหรับผม มันมีอะไรแปลกวะ ให้ตายตายเหอะ เรื่องเห่ยๆ ที่พระทำมันมีมากกว่านี้อีกตั้งมากมายก่ายกอง ทุกคนรู้ผมเชื่ออย่างนั้น พระทำโน่นทำนี่แปลกประหลาด กระทั่งข่มขืนสีกา มาใส่ใจอะไรกับการเล่นกีต้าร์ เล่นเครื่องร่อน ขัดกับจริยวัต อันสำรวมของพระสงค์งั้นหรือ? ผมไม่ได้แอนตี้ศาสนาพุธครับ แน่นอน ผมก็ชาวพุธคนนึง ศาสนาพุธสอนให้เราปรับตัวให้เข้ากับโลกมิใช่หรือ คุณกลัวอะไร? คุณกลัวว่าศาสนาจะเสื่อมเพราะการเผยแพร่เรื่องพวกนี้ออกไปสู่สายตาคนงั้นหรือ? ศาสนาพุธในสายตาคุณมันเสื่อมไปตั่งแต่คุณคิดแบบนี้แล้วครับ เหล็กดีต้องทนไฟ ศาสนาก็คงไม่ต่างกัน สังคมจะเป็นเบ้าหลอมศาสนาให้ปรับเปรียนพฤติกรรมตามความเหมาะสม โดยที่แก่นแห่งศาสนายังคงเดิม เหมือนหนังสือที่เปลี่ยนปกแล้วพิมพ์ขายใหม่โดยที่เนื้อหายังคงเดิม อย่ากลัวศาสนาจะเสื่อมเพราะเรื่องพวกนี้เลยครับ ไม่งั้นมันไม่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้หรอก หมออีกก็เรื่องอะไรกัน หมอเป็นพระเจ้าหรืออย่างไร ถึงจะไม่สามารถมีพฤติกรรมแบบคนทั่วไปได้ แล้วไอ้หมอเลวๆ ที่มันเลี้ยงไช้คนไข้ ที่มันหากินกับอวัยวะคนนั่นเล่า มันเป็นหมอหรือเปล่า? ผมเคยคิดนะว่าอาชีพที่หากมีการตัดสินจำคุก หมอนี่แหละที่ผมจะอนุโลมให้ ไม่ต้องไปอยู่ในห้องขัง อยากให้ไปทำงานรักษาคนไข้ดีกว่า มันเป็นอาชีพที่สูงส่ง เหมือนอาชีพครู ถ้าครูทำให้คนเป็นคน หมอก็ทำให้คนยังเป็นคนอยู่เช่นกัน

ณ. วันเวลานี้ ก็น่าจะได้ข้อสรุป เพราะเจ้าของหนังยืนยันว่าไม่ผ่านกองเซ็นเซอร์ก็ไม่เป็นไร เค้าก็จะไม่ฉายหนังเรื่องนี้ เพราะการตัดบางส่วนออกไปนั้น มันทำให้เสียความเป็นหนังในความตั้งใจของเค้าไป ติสสุดๆ ผมเข้าใจนะ ว่ามันเป็นอารมณ์ยังไง เราไม่ใช่คนอดอยาก ที่หากินกับงานที่ทำ มันอาจจะเป็นงานที่ทำเพื่อนสนองความต้องการทางจิต มากกว่าทางร่างกาย ถ้ามันไม่ได้อย่างใจคิด ก็เก็บไว้แล้วกัน ทำมันแล้วนี่ ปัญหาสุดท้ายคือกองเซ็นเซอร์ไม่ยอมคืนฟิมล์หนังให้ อ้างว่าเอาไปตัดฉากที่ว่าออกก่อน แล้วจะคืนให้ โอ้วว ประเทศไทย เป็นอะไรไปเนี๊ย หรือมันเป็นของมันมาตั้งนานแล้ว ผมต่างหาก ที่ไม่เข้าใจ แปลกแยก ...

Saturday, April 14, 2007

สุขสันต์วันปีใหม่ไทย

ได้ข่าวว่าสนามหลวงน่าสนใจ มีการอันเชิญพระพุทธสิหิงส์ มาให้ประชาชนได้สงน้ำ คนอยากเปียกคาดว่าก็คงยังไม่ได้เปียกอย่างที่ตั้งใจ คนไม่อยากเปียกอย่างเราดันเปียกน้ำป๋อมแป๋มอยู่ในซอยโชคชัยสี่ ทันทีที่ลงจากรถ ก็เปียกไปครึ่งท่อน หลังจากนั้น 5 นาที ไม่มีส่วนไหนที่แห้ง เล่นสงกรานต์มันต้องในซอยจริงๆเลย ถนนแคบๆ หน่อยพอให้รถได้ติดขัดชะลอตัวบ้าง ในซอยที่ว่าคึกคักพอสมควร ตั้งใจไปยืนขายน้ำเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที ตั้งแต่ไปยันกลับ ไม่พบว่ามีลูกค้ารายใดซื้อน้ำสักขวด ไม่เป็นไรไม่ซีเรียส เสียค่าเบียร์ไปมากกว่าต้นทุนค่าน้ำซะอีก คาดว่าขายน้ำหมดก็ยังไม่คืนทุนค่าเบียร์อยู่ดี หุหุ นอนหลับได้หน่อยก็ตื่นมาตอนตีห้า แล้วก็นอนต่อไม่ได้แล้ว ทำท่าเหมือนจะเป็นหวัด วันนี้คงต้องออกไปขายน้ำเป็นเพื่อนมันอีกวัน ข้อความที่ส่งมาได้รับนะ แต่ไม่ได้ reply กลับไปเนื่องด้วยโทรศัพท์เจ้ากรรมตั้งแต่ upgrade firmware ไปมันดันส่งข้อความภาษาไทยไม่ได้ แม้นชีวิตการสื่อสารจะใช้ไทยคำอังกฤษคำ แต่พอตั้งใจจะใช้ภาษาอังกฤษจริงๆ ดันนึกข้อความไม่ออก ซะงั้น

Monday, April 09, 2007

ไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ได้ไป "งานสัปดาห์หนังสือ"

วันนี้ลืมตาออกจากห้องไปราวๆ เที่ยงเศษๆ ก็จะอะไรซะอีกเจ้าเพื่อนโทรมาตามให้ไปช่วยติดตั้ง software ตามที่นัดหมาย (แต่ไร้การ confirm ใดๆ) เอาวะไปก็ไป ตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดี ก็แทบจะได้ได้เคลื่อนกายพ้นเขตแดนของคอนโดอันเป็นที่พำนักเลย วันนี้อากาศอึมครึมครึ้มฟ้าครึ้มฝน มอซอไร้แดด ที่หมายก็ไม่ใกล้ไม่ไกล ระแวกน๊อดป๊าก แถวๆ ม.ธุรกิจบัณฑิต จากตลาดนนท์ถือว่าอยู่ในวิสัย การดำเนินการไร้ปัญหาบ่ายสามกว่าๆ ก็เสร็จธุระ ออกมานั่งกินกาแฟคุยกันเรื่อยเปลื่อยก่อนจะแยกย้าย (มันคงจะเป็นเบียร์ถ้ามีร้านมันเปิดต้อนรับในเวลานั้น) มันส่งผมตรงป้ายรถเมล์แถวๆ ม.ธุรกิจบัญฑิต ริมคลองประปา เดินยังไม่เข้าป้ายดีรถเมล์ก็มา สาย 70 ผมไม่เคยนั่งสายนี้มาก่อน แต่สายไหนๆ ผมก็ไม่เคยนั่งจากจุดนี้ อย่างแรกที่คิดจะทำคือ ออกจากตรงนี้ไปก่อน เอ แล้ว 70 มันไปสุดที่ไหนกันหล่ะครับ? เดินขายังยกไม่พ้นบันได พนก. ก็บอกว่า สุดสายที่ สถาณีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ อืมม ok, on the way.

นั่งไปสักพักก็เกิดอาการปวดฉี่อย่างเบา หมายความว่าผมยังคงสถานะไปได้อีกไม่เกินชั่วโมง รถมันก็เลยแยกงามวงศ์วานไปแล้ว ที่หมายก็คงต้องเป็นสถาณีรถไฟฟ้าแล้วแหละครับ ด้วยความที่ไอเดียร์กระฉูดบวกกับได้ปลดปล่อยร่างกายออกจากสถานที่จองจำมาแล้ว ตอนนี้คิดแล้วหล่ะครับว่าจะไปฉี่ที่ไหนดี (มันจะมีคนบ้าคิดอย่างนี้บ้างเปล่าวะเนี้ย?) เริ่มที่ central ลาดพร้าว ไม่ work เดินไกล ใกล้กว่าก็ union mall แต่ก็ไม่ไหว มันเหมือนห้องน้ำจริงๆ อย่างอื่นแทบไม่มีอะไรน่าสนใจ เอ หรือจะเป็นเอ๊สพานาด น่าสนใจยังไม่ฟังธง เผื่อจะได้ดูหนังซักรอบในรอบหลายปีก่อนกลับ ถัดมาก็ฟอร์จูน ได้เดินดูสินค้า IT (คิดอีกที มึงบ้าหรือเปล่าวะ ชิวิตนอกจากคอนโดน มึงก็อยู่ฟอร์จูนนี่แหละ เออหว่ะมันก็จริง) แว๊บๆๆ เข้ามา เห้ย มันมีงานหนังสือนี่หว่า อีกใจนึงก็ไม่ค่อยอยากไปกลัวเปลืองตังก์ เอาวะไปงานหนังสือดีกว่า ไม่ได้ซื้ออะไรก็ได้ดูหนังสือใหม่ๆ หนอนหนังสือหน้าตาดีๆ อิอิ เอสพาน๊าด เลยต้องยกยอดไปจนกว่าโอกาสจะอำนวย

รถเทียบที่สถานีศูนย์ประชุม อย่างแรกที่พ้นประตูสถานีคือผมไปกดตังก์!! กูจะบ้าตาย ไหนบอกไม่ซื้ออะไรไงวะ แต่ก็เหมือนมีอำนาจบางอย่างเตือนว่ากดไว้ก่อน ไม่ได้ซื้อเงินก็ไม่ได้ละลายไปไหน จากนั้นอย่างแรกที่ต้องทำคือไปเข้าห้องน้ำ หลังจากทำภารกิจหลักเสร็จก็ถึงคราวของภาระกิจรอง คือไปเดินชมงาน ไปตัวเปล่าแสนสบาย ไม่ต้องมีเป้พะรุงพะรัง ผ่านทุกๆ ด่านตรวจโดยไม่มีชะงักหรือติดขัดอะไร

หลังจากได้แผนที่การจัดบู๊ทแล้ว ก็ต้องกำหนดที่หมายหล่ะครับ ไม่เดินกวาด เพราะไม่ได้มาตลาดนัด มาดูหนังสือของบางสำนักพิมพ์ หรือนักเขียนบางคนเท่านั้น ไม่ได้หาหนังสือแปลกใหม่ที่ไม่เคยอ่าน หนังสือดีต้องมีคนการันตีร์ ต้องมีการพูดถึง ไม่ใช่ตลาดนัดสินค้าตาร้ายดีตาดีเสีย เห้ยตาดีด้ายตาร้ายดี อะไรวะ นึกที่ถูกไม่ออก พอ!! ปวดหัว ช่างมัน!!

ที่แรกที่นึกถึงคือสำนักพิมพ์ชาวใต้ (น่าจะนาครนะ เดินนึกยังไงก็นึกไม่ออก พอนึกออกชื่อนี้ก็ดันไม่มีในแผนที่) เลยต้องเปลี่ยนเป็นพี่วินทร์ละกัน ผมไม่ได้ซื้อหนังสือแกอ่านมานาน พอๆ กับคุณประภาส แกทั้งคู่สอนให้ผมคิด อ่าน ในบางมุม ที่เราๆ หรือใครๆ อาจจะนึกไม่ถึง โป๊ะเช๊ตรงที่ผมดันแตกความคิดไปคนละทางกับพี่แกทั้งสอง เลยต้องเลิกอ่านแนวๆ คุยกับประภาสไปโดยปริยาย (อีโก้นี่หว่า? จริง แต่กำลังปรับๆ อยู่) คุณวินทร์ยังไม่เท่าไหร่ เพราะแกออกแนวเรื่องสั้น ทำให้ผมยังพอได้ติดตามบ้าง เลยไปร้านคุณวินทร์ คนเยอะมาก ไม่ไหวอะ มีอีกร้านระแวกไม่ไกล ร้านสีชมพูใสแจ๋ว เหลือบมองชื่อร้าน "Jamsai" เห้ย สวรรค์มาโปรด จำได้ว่าเป็นร้านที่น้องๆ ที่ office เอ่ยถึง เลยต้องจบความวุ่นวายที่ร้านพี่วินทร์เท่านี้ ร้านนี้คนเยอะก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องเข้าใกล้มากก็ได้ เพราะไม่ได้ดูหนังสือ อิอิ ใช้เวลาน้อยกว่าที่คาด ไม่ประทับใจ ไม่รู้ว่าไม่ถูกวัน หรือทัศนะคติไม่ตรงกับน้องๆที่ office ก็สุดจะเดา ไปมติชนดีกว่า หาๆ หนังสือคุณประชาคม สุนาลัย มาอ่านสักหน่อย บู๊ทมติชนเองมีหนังสือน่าสนใจหลายเล่มทีเดียวครับ รวมถึงวรรณกรรมเยาวชนที่น่าอ่านหลายๆ เล่ม เดินๆ พลิกๆ อ่าน หยิบติดมือมาสามสี่เล่มได้ พอจะจ่ายตังก์ เปลี่ยนใจกระทันหัน ไม่เอาดีกว่า สงสารหนังสือที่บ้านกองเป็นกระบุง พอได้ใหม่ ก็อ่านแต่หนังสือใหม่ หนังสือเก่าไม่ได้อ่านซะที ปีนี้งดหนังสือใหม่ละกัน เดินออกมาจะกลับอยู่แล้ว ไหนๆ ก็มาแล้วเดินกวาดซะหน่อย เผื่อจะเจอสำหนังพิมพ์นาคร เดินอยู่พักใหญ่ก็เจอหนังสือของสำนักเขียนที่ว่า (มันอยู่บู๊ท บ้านวรรณกรรม จำไว้ คราวหน้าจะได้ไม่หลง) ไม่มีหนังสือเล่มใหม่ของนักเขียนที่ผมต้องการ (จริงๆ เค้าเสียชีวิตไปแล้ว แต่หลังๆ ก็มีการรวมเล่มเรื่องสั่น ที่ยังไม่ได้มีการรวมเล่มออกตามมาเหมือนกัน) ไม่มีเล่มใหม่ออกมา จะว่าไปงานเขียนเค้ามันก็สมบูรณ์ในระหว่างที่เค้ายังมีชีวิตอยู่ พวกที่รวมเล่มหลังๆ ไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ (มิหน้าหล่ะ ตอนเค้าอยู่เค้าถึงไม่ได้เอามาตีพิมพ์รวมเล่ม คิดเอาว่ามันไม่ผ่านเกณฑ์ของนักเขียนเอง)

เดิมมีแผนจะไปนั่งเรือด่วนเจ้าพระยากลับ คิดถึงพระปรางวัดอรุณขึ้นมาตะหงิดๆ ลมเอื่อยๆ เย็นดีพิกล นังเรือน่าจะ work แต่ก็ไม่ได้ไปหรอกครับ ไม่แน่ใจเรื่องเวลาเที่ยวสุดท้านของเรือว่าเป็นทุ่มหรือทุ่มครึ่ง แล้วถ้าไปแล้วไม่ทันเรือ มันจะกลายเป็นวิบากกรรมต่อเนื่อง เลยนังไฟฟ้าย้อนกลับมาที่สถานีบางซื่อ ก่อนจะนั่งรถเมล์กลับ

กลับถึงห้อง นอนแอ้งแม้งตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง ตื่นมาราวๆ เที่ยงคืน ได้รับ message ว่า "วันนี้ได้มาล่องเรือเรียบเจ้าพระยาด้วย อากาศเย็นสบายมากเลย ฮี่ฮี่ สะพานซังฮี้กับพระรามแปดที่ไม่ได้เห็นตอนดึกมานาน สวยจัง" .. ทำให้รู้สึกเสียดาย ที่ไม่ได้ไปนั่งเรือด่วนกลับ เอ แต่ถ้าเราไปนั่งเรือด่วน เราจะเห็นซังฮี่กับพระรามแปดหรือเปล่าหล่ะ? พระตอนนั้นสนใจวัดอรุณนิ หุหุ ...

Tuesday, April 03, 2007

เรามีเวลากับมันน้อยเช่นนั้นเหรอ?

สองวันมานี่พระจันทร์สว่างโร่ผิดปกติหรือเปล่า หรือคิดไปเองหว่า หรือไม่ได้เห็นมานาน ฟ้าที่บ้านคงจะมึดและเห็นดาวเยอะกว่านี้คิดดูขนาดกรุงเทพดาวยังพร่างพราวขนาดนี้ ฟ้าหน้าร้อนมันก็กระจ่างตาดีพิกล เมฆไม่ค่อยมี เลยทำให้พระจันทร์สว่างโร่ พระจันทร์ขนาดนี้ยังไม่ทำให้ดาวหนีหายไปไหน วันนี้เหลือบมองตึกกระจกอีกแล้ว ตึกระจกที่มองจากทางลงสถานีรถไฟฟ้า มันสวยจัง กระจกสะท้อนแสงจากท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ใกล้ตก อยากจะนั่งมองสักพัก แต่ภาระที่ต้องรีบไปธนาคารให้ทันทำให้ต้องรีบ มันสวยในะทุกครั้งที่เร่งรีบ ความสวยมันจะส่งผลกับเรามากที่สุดในยามที่เรามีเวลากับมันน้อยเช่นนั้นเหรอ? ชีวิตทุกวันนี้มีความสุขยังหว่า หรือมันจะมีความสุขที่สุดตอนที่มันเหลือน้อย...

Sunday, April 01, 2007

Walk the line

หนังที่สร้างมาจากส่วนนึงของชีวิตจริงของนักดนตรี Johnny Cash เป็นหนังที่กวาดรางวัลมาหลายเวที ได้ Joaquin Phoenix รับบทเป็นตัวเอกของเรื่อง (Johnny Cash) คนที่แสดงเป็นตัวร้ายในเรื่องกราดิเอเตอร์เผื่อนึกหน้ากันไม่ออก เป็นหนังเรื่องนึงที่มีแพลนจะดูมานาน ขนาดซื้อแผ่น dvd มาดองไว้ แต่ก็ไม่ได้เปิดดูเสียที วันนี้ Truevisions เอามาบรรณาการถึงที่ ขนาดนี้ถ้ายังบ่ายเบี่ยงไม่ดู จะอ้างว่าอยากดูก็คงไม่มีใครเชื่อ หลายๆ คนไม่ชอบหนังที่สร้างจากชีวิตจริง อาจจะด้วยความเป็นชีวิตจริงของคนที่มีตัวตนจริงๆ การทำให้เป็นหนังมันก็เลยยาก ยากตรงที่มันเป็นเรื่องจริง ความจริงบางอย่างมันก็กระทบกระเทือนต่อชีวิตคนอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่แค่คนที่เป็นต้นเรื่องเพียงอย่างเดียว

หนังดราม่า มันคงไม่สนุกเท่าไหร่ถ้าคุณไม่ได้ชอบหนังแนวนี้ เรื่องจะเนิบๆ บีบคั้นอารมณ์ในบางช่วง อารมณ์ของหนังแสดงผ่านฝีมือนักแสดงเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าแววตา คงไม่ต้องบอกนะครับว่านักแสดงนำของเรื่องทำได้ดีแค่ไหน จากการได้เข้าชิงและคว้ารางวัลมาจากหลายเวที หนังเริ่มต้นจากชีวิตในวัยเด็กของตัวเองที่มีปมปัญหาของชีวิต และปมนั้นมันฝังอยู่ในจิคใจเค้าจนโตขึ้นมา หนังไม่ได้แสดงความสัมพันธ์ว่าความรู้สึกนั้นมันส่งให้เค้าประสบความสำเร็จ หนังไม่ได้แสดงให้เห็นด้วยความความสามารถทางด้านดนตรีของพระเอก มันเกิดมาได้อย่างไร หลายๆ คนอาจจะไม่ได้สนใจ เค้าแทรกไว้หน่อยๆ พอให้นึกออกว่า อ๋ออ มันเริ่มสนใจดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมว่าเค้านำเสนอมุมมองในส่วนที่เกี่ยวกับความรักระหว่างพระเอก กับคนรัก มากกว่า ความรักทำให้คนเราทำอะไรได้หลายๆ อย่าง แม้กระทั่งทำให้ชีวิตตัวเองเดินไปในเส้นทางที่ผิด และความรักนั้นเองที่เป็นตัวดึงให้คนที่สิ้นไร้ความหวัง สามารถกลับมาในเส้นทางของชีวิตที่ดีขึ้นได้

เนื้อหาของหนังมันไม่ค่อยเต็มในความรู้สึกของผม แต่บทบาทการแสดงของ Joaquin และ Reese Witherspoon (นางเอก) ทำได้ดีมากครับ ผมให้เครดิคกับนักแสดงทั้งคู่เต็มๆ เลยครับสำหรับหนังเรื่องนี้

ในส่วนตัวได้อะไรจากการดูหนังเรื่องนี้?
- เมื่อเราอยู่ในจุดที่สูงกว่าคนทั่วไปเช่นการที่คุณกลายเป็น super star คุณจะต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด ผู้หญิง จะมีใครสักกี่คนเข้มแข็งต่อเรื่องเหล่านี้ได้
- คุณรักใครก็ได้ แต่คุณอย่าลืมที่จะรักตัวเอง ถ้าคุณไม่รักตัวเอง คุณจะไปรักคนอื่นได้อย่างไร (อย่างที่ทาทายังบอก)
- ความรักมันชั่งยิ่งใหญ่ มีพลัง เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ดังนั้น หากคุณทำอะไรด้วยความรักแล้วหล่ะก็ ผลของมันออกมาดีแน่นอน
** ในเรื่องผมชอบตอนที่ Ray Crash พูดกับลูกชาย Jonhy Cash ด้วยประโยค นี้ "Mister big shot, mister pill poppin' rock star. Who are you to judge, you ain't got nothin', big empty house, nothin', children you don't see, nothin', big ol' expensive tractor stuck in the mud, nothin'. "

มันเป็นหนังที่ดีเรื่องนึงในความคิดผมนะอารมณ์แนวๆ Beautiful mind, Cinderlera Man ถ้ามีสองเรื่องที่ว่าอยู่ใน collection อยู่แล้ว หา Walk the line มาดูเถอะครับ แนะนำ

Saturday, March 31, 2007

ผมเกือบจะลืมไปแล้ว ถ้าเพียงคุณไม่เอ่ยถาม

ผมเกือบจะลืมไปแล้ว ถ้าเพียงคุณไม่เอ่ยถาม ว่าผมเขียน blog บ้างหรือเปล่า มันไม่ใช้กิจกรรมที่ผมถือว่าต้องทำเป็นประจำด้วยระยะห่างของเวลาที่สม่ำเสมอ คนเราไม่ชอบอะไรจำเจซ้ำซาก ผมเองก็เหมือนกัน แต่การเขียน blog มันคงเปรียบเช่นนั้นไม่ได้ ไม่งั้นเราก็คงเลิกกินข้าวกันไปแล้ว blog เองก็คงเหมือนๆ กับวันนึงคุณอยากกินก๊วยเตี๊ยวเนื้อ วันที่จิตใจคุณเรียกร้องถึงมัน คุณก็กลับมาเขียน ด้วยเรื่องราวอะไรก็ตาม บางครั้งการเขียนอะไรบางอย่าง มันก็ไม่ใช่การบันทึกความทรงจำเพียงอย่างเดียว อย่างที่ผมบอก บางครั้งสมองมันก็เลือกที่จะละอะไรบางอย่างไป ไม่ใช่เพราะคุณอยากลืม แต่สมองมันไม่มีพื้นที่ชั่วคราว (ภาษาทางการงานของผมเรียกมันว่า buffer) มากพอ พื้นที่ชั่วคราวใช้สำหรับจดจำและประมวลผลเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงปัจจุบันมากที่สุด ส่วนความทรงจำที่สมองเราเก็บไว้อีกส่วน มันจะโดนกระตุ้นขึ้นมา เมื่อมีเหตุการณ์ที่สัมพันธ์กับปัจจุบัน บางครั้งเพลงบางเพลง สถานที่บางแห่ง หรือเหตุการณ์บางอย่างมันเชื่อมโยงไปยังส่วนเก็บความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องสุขหรือเศร้าในตอนนั้น แต่ ณ วันที่สมองคุณโดนกระตุ้นให้มันกลับมา มุมมองคุณอาจจะไม่ได้คิดอย่างนั้นแล้วก็ได้ การ blog อาจจะช่วยในแง่ของการย้อนไปมองมุมมองของคุณต่อเรื่องใดๆ นะช่วงเวลานึง บางครั้งเราก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเราเอง ทำไมวันนั้นเราคิดอย่างนั้น แล้ววันนี้หล่ะ เราคิดอย่างนี้หรือเปล่า นักประวัติศาสตร์สืบเสาะหาความเป็นไปของอดีตกันทำไม ในเมื่อมันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้? เหตุผลเดียวที่ผมนึกได้คงจะเป็นการเรียนรู้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพื่อวันนึงหากแม้นเราได้มีโอกาสไปเจอเหตุการณ์คล้ายๆกัน มันก็จะเป็นต้นทุนทางความคิด เพื่อให้เราไม่ทำผิดพลาดเช่นนั้นอีก หลายๆ หนผมมองว่าอดีตบางเรื่องมันดึงเราให้ถอยห่างจากอนาคต ความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับการเดินทางโดยรถไฟ มันดึกให้ผมขยาดแล้วไม่อยากเดินทางโดยทางนั้นอีก วันนี้ผมรู้แล้วว่าปัญหา มันไม่ใช่รถไฟ ปัญหาที่ผมประสบมันเริ่มมาจากการเดินทางโดยการวางแผนที่ผิดพลาด นั่นหรอกคือเหตุผลที่ทำให้การเดินทางมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ผมต้องการ นั่นหรอกคือการเรียนรู้จากอดีตเพื่อจะให้อนาคตมันไม่เป็นอย่างนั้นอีก แต่ถ้าคุณยังทำให้มันผิดพลาดเหมือนเดิม มันไม่ใช่ปัญหาของใครแล้ว คุณต่างหาก เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมัน ได้ดีพอ หรือยัง?

Friday, March 09, 2007

ORACE: PL/SQL Dev ใช้งานกับ Oracle Instant Client

ไม่ต้องลง Oracle Client ก็ได้ ใช้แต่ Instant Client ก็ทำงานได้ครับ
set env ดังนี้
- ORACLE_HOME ไปที่ oci.dll อยู่
- TNS_ADMIN ไปที่ tnsnames.ora อยู่
- PATH เพิ่ม path ที่ oci.dll อยู่เข้าไป

เท่านี้ครับ

Monday, March 05, 2007

ความหมายของ Soulmate

กับคำถามที่ว่า "เคยเจอ soulmate บ้างหรือยัง?" กลายเป็นคำถามต่อว่า "แล้ว soulmate มันเป็นยังไงหรือ?"
-------------------------------------------------------------------------------

เค้าพูดถึง soul mate เอาไว้ว่า....
"soul mate" จะเป็นเพื่อน เป็นคนรัก หรือเป็นคนรู้จักก็ได้ มีคุณสมบัติ คือเป็น
1. ต้องเคยใช้ชีวิตชาติปางก่อนมาด้วยกัน
2. ครั้งแรกที่พบกันในชาตินี้ ต้องรู้สึกทันทีว่าคุ้นมากๆๆๆๆ
มีอะไรบางอย่างสื่อถึงกัน รู้สึกสบายใจและไว้วางใจในทันที
3. เมื่อมีปัญหาแตกร้าว ก็เข้าใจกัน แก้ไขได้ด้วยกันโดยง่าย

"soul mate" มิใช่ "เนื้อคู่" แต่เพียงอย่างเดียว มีถึง 3 แบบด้วยกัน

แบบที่ 1 เรียกว่า Companion Soul Mates
คือคนที่เป็นเพื่อนก็ได้ เป็นครูก็ได้ เป็นเจ้านายก็ได้ เป็นใครสักคน
เป็นคนแปลกหน้าผ่านมาเวลารถเสียแล้วช่วยซ่อมให้ก็ได้
ไม่คิดตังค์ ไม่ล่อลวงไปข่มขืน
หรือเป็นคนที่ได้พบปะพูดคุยด้วยไม่กี่ครั้ง หรือเพียงครั้งเดียว
แต่เป็นแรงบันดาลใจส่งให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
เป็นคนที่เราจะได้พบในช่วงสั้นๆ ในชีวิต
เพราะชาติที่แล้วเราเคยช่วยเหลือกันมาก่อนในระยะเวลาจำกัด
…แรงบันดาลใจ ฉันจะเป็นเหมือนเธอ จะทำให้ได้อย่างเธอ
อย่างงี้หละ!

แบบที่ 2 เรียกว่า Twin Soul Mates
คือคนที่เราเป็นเพื่อนกันมาหลายชาติแล้ว
พอชาตินี้มาเจอกัน! อีกก็ได้เป็นเพื่อนกันอีก
คล้ายๆ พวกที่1 แต่จะรู้สึกถึงมิตรภาพที่ผูกพันแนบแน่นกว่า
แบบว่าสื่อถึงกันได้ทางโทรจิต คล้ายว่าเป็นฝาแฝดกันน่ะ
พอได้รู้จักกันแล้วก็จะรับรู้ทุกข์สุขกันไปตลอดชีวิต
ร่วมทุกข์ร่วมสุขประมาณว่า ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งหนไหนในโลก
ก็รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าอีกคนกำลังรู้สึกอย่างไร จะเป็นคนที่ปลอบคุณเวลาที่
คุณทำผิดพลาด คอยเช็ดน้ำตาให้คุณเมื่อทุกใจเพื่อนตายก็ว่าได้เลย

แบบที่ 3 เรียกว่า A Twin Flame Soul Mates
แบบนี้มีคนเดียว หายาก และพบยาก จะพบกันก็เพราะความผูกพันธ์ที่
ผูกคุณและเค้าไว้ส่วนมากจะเป็นเพศตรงข้าม ทั้งชีวิตนี้จะมีได้แค่คน
เดียว เป็นคนที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายชาติภพแล้ว เป็นจิตวิญญาณ
ของกันและกัน พอพบกันครั้งแรก จะเหมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นเข้าหา
กัน ดั่งเหมือนมีมนต์ จะรู้สึกถูกชะตา รู้สึกดีเมื่อได้อยู่ใกล้ๆ จะรู้อยู่
ลึกๆ ทันทีว่านี่คือคู่ของเรา ต้องเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใคร
มาก่อน จะรู้สึกแบบนี้กับคนๆนี้คนเดียวเท่านั้น เป็นคนที่ได้ยินชื่อ พบ
กัน หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกันเค้าแล้วคุณรู้สึกอย่างนี้ จะเป็นความรู้สึก
ที่แปลก คุณจะรู้สึกได้( สำหรับคนที่เจอแล้วนะ)ว่ามันเป็นความรู้สึก
ที่ไม่เหมือนใคร แตกต่างจากคนที่เรารู้จัก หรือคนธรรมดาทั่วๆไปที่
ได้พบ

Saturday, March 03, 2007

ความง่ายในวิถีธรรมดา

เมื่อวานมีธุระกับเพื่อนที่ office เดิม เป็นโอกาสให้ผมได้กลับมาเยือนสถานที่ทำงาน ที่ผมถือว่าเป็นสถานที่ทำงานที่เปลี่ยนรูปแบบการทำการ ความคิดในการทำงานของผมไปเยอะทีเดียว คงด้วยระยะเวลาลาที่ผมทำงานที่นี่นานกว่าทุกๆ ที่ที่เคยทำ ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง จนผมต้องปรับตัวเอง กลายเป็นคนที่เลือกที่จะไม่ทำอะไรบ้าง เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องไปยุ่งกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายบางเรื่อง ผิดกับการทำงานแรกๆ ที่ผมจะทำทุกอย่างที่คิดว่าทำได้ หรือทุกๆ การร้องขอ แต่ผลที่ได้หลายๆ ครั้งมันทำให้ผมโดนตำหนิติติงโดยที่ผมไม่สามารถอ้างไดเลย ว่ามันไม่ใช่งานของผม เพราะเมื่อผมทำ ผมก็ต้องรับผิดชอบ เมื่อคุณอ้างว่าไม่ใช่งานของคุณบ่อยเข้า การคบหาเพื่อหวังผลประโยชน์จากความสามารถของคุณมันก็จะเบาบางลง คงเหลือเฉพาะความสัมพันธ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในหน้าที่มากนัก จะเรียกว่าการกรองเพื่อนแท้ออกจาหการงานก็ว่าได้ จะบอกว่าผมได้กลายเป็นคนเมืองที่แฝงไว้ด้วยความเห็นแก่ตัวก็ว่าได้

เสร็จธุระก็เดินทางกลับวันนี้อยากกินข้าวหมูกรอบเลยแวะกินร้านประจำ (ประจำคือกินบ่อยกว่าร้านอื่น แต่ไม่ได้กินถี่ถึงขนาดอาทิตย์ละสองสามครั้งนะครับ แต่ถ้าเป็นข้าวหมูกรอบส่วนใหญ่จะเป็นร้านนี้) ลูกสาวของร้านนี้เป็นวัยรุ่นอายุไม่น่าจะเกิน 18 แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักให้ผมเลือกกินร้านนี้นะครับ เพียงแต่เป็นคนที่สะดุดตาผมทุกครั้งที่มากิน สังเกตุว่าหลังๆ เธอหายไป แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะไปถามไถ่ว่าเธอหายไปไหน ทั้งนี้เราเองก็ไม่ใช่คนรู้จัก หรือญาติพี่น้องกันเสียด้วยสิ วันนี้เธอกลับมาในรูปแบบที่ผมแทบจำไม่ได้ ด้วยการแต่งหน้าที่จัดจ้าน นี่ถ้าเป็นตามสถาบบันเทิง หรือแหล่งชุมนุมของวันรุ่นอย่างสยาม คงไม่แปลกใจ แต่นี่มันตลาดนนท์ นึกแปลกใจเหมือนกันว่าที่เธอหายไป เธอหายไปไหน แล้วไปทำอะไร เธอกลับมาที่ร้านโดยไม่มีการว่ากล่าวอะไรจะผู้เป็นแม่ หมายความว่าทุกคนรู้ที่มาที่ไปของสภาพการแต่งกายทาหน้าแบบนี้ กินเสร็จผมก็เดินไปจ่ายตัง เธอเดิมมาที่ผมแล้วบอกว่า 26 บาท ผมบอกไปว่าผมมีใส่ห่ออีก 2 เธอบอกงั้นก็ 76 .. เธอถามผมว่าผมมีเหรียญบาทหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจในตอนแรกนักว่าได้ยินคำถามนี้ จึงถามกลับไป "เท่าไหร่นะครับ?" เธอบอก "76 บาทคะ พี่มีเหรียญบาทหรือเปล่า?" ผมบอกผมมีเศษ 4 บาท น้องจะเอาเท่าไหร่ เธอบอก "บาทเดียวคะ" เธอทำหน้าฉงนเล็กน้อย ก่อนหยิบเหรียญบาทจากมือผมไป สักพัก เธอกลับมาพร้อมตังทอนยื่นให้ผม "ทอน 25 บาทคะ" ผมรับมาแล้วก็เดินจากไป ผมคิดว่าธรรมชาติทั่วไปของการทอนตัง ถ้าเศษไม่เกิน 4 บาทถึงน่าจะมีการร้องขอเศษเหรียญ เช่น พี่มีเศษบาทนึง หรือสองบาทหรือเปล่า แต่นี่เป็นเศษ 1 บาท จากราคา 76 บาท ผมอาจจะคิดมากไป หรือเพราะผมเป็น programmer การปัดเศษมันควรจะเป็นเศษที่ไม่เกิน 4 เดินไปได้สักพัก ผมก็คิดได้ว่าทอน 25 มันก็ดีกว่าทอน 24 อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องมีเหรียญหลายเหรียญติดกระเป๋า มันก็มีแต่ข้อดีนี่น่า! ต้องยอมรับครับว่า logic ในสมองแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน วิถีแห่งความง่าย คือวิถีแห่งชาวบ้าน มันออกมาจากความคุ้นเคย ประสบการณ์ ไม่ใช่จากหลักการ หรือตรรกใดๆ ผมคงต้องเรียนรู้วิถีอย่างนี้บ้าง เชื่อในคนอื่นบ้าง อย่าเชื่อแต่ตัวเองเพียงฝ่ายเดียว ...

Thursday, February 15, 2007

ทำให้ได้ดีสักอย่าง ได้ไหม.

ผมไม่ใช่นักเขียน ใช่ ผมเขียนอะไรยาวๆ เป็นเรื่องเป็นราวไม่เป็น ...
ผมไม่ใช่นักดนตรี ผมอ่านตัวโน๊ทแทบไม่เป็น เล่นดนตรีก็แค่พอเล่นได้ ไม่ถึงกับเล่นเป็น ...
ผมไม่ใช่สุดยอดโปรแกรมเมอร์ ผมอาจจะเขียนโปรแกรมได้หลายภาษา แต่ผมก็ไม่ได้เป็นเลิศในภาษาใดๆ ...
ผมไม่ใช่ช่างภาพมืออาชีพ ก็แค่คนที่ชอบถ่ายภาพคนนึง มีกล้องเป็นของตัวเอง มีมุมมองเป็นของตัวเอง มี ego ...
ผมไม่ใช่กราฟฟิกดีไซต์ ผมใช้โปรแกรมตกแต่งภาพได้บ้าง แต่ก็ไม่เชียวชาญเป็นพิเศษ ...
ผมดูทำอะไรได้เยอะแยะไปหมด แต่ก็มีที่ผมยังทำไม่ได้สักที นั่นคือทำอะไรให้มันดีที่สุดซักอย่าง ....

Wednesday, February 14, 2007

วันแห่งความรัก

ผมออกจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีอยู่พอสมควร คิดไปเองหรือเปล่า? อันนี้มันคงจะให้คำตอบลำบาก แต่เท่าที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยท้อแท้เพราะปัญหาอะไรก็ตามที่มะรุมสุมตัว หรือเพราะผมเลือกที่จะปล่อยมันไป แล้วบังเอิญผมทำได้ เลือกที่จะไม่ทำแล้วก็ไม่ทำอย่างที่เลือกจริงๆ พอใจมั๊ยกับสิ่งเป็น? ไม่เลย หลายครั้งดูเป็นคนทำอะไรไม่ถึงที่สุดด้วยซ้ำ เอ้าแล้วค่ำคืนของวันแห่งความรักมาพร่ำบ่นอะไรเรื่อยเปลื่อย ผมไม่ได้ไปไหนกับใคร หรือเพราะไม่มีใครจะไปด้วยก็ว่าได้ เลิกงานท้องเสีย ต้องแวะไปปลดทุกข์ที่ห้องน้ำห้างดังแถวลาดพร้าวอีกต่างหาก กลับมาถึงห้องเปิด True Vision ดูก็ได้ดูหนังที่เพื่อนๆ คนรอบข้างเชียร์นักเชียร์หนา "เพื่อนสนิท" ผมไม่ค่อยกล้าดูหนังเรื่องนี้ คงเพราะความกลัว กลัวมันจะหดหู่ กลัวมันจะเศร้าผมไม่ชอบเรื่องเศร้า มันชวนหม่นหมอง และผมจะหม่นหมองยาวนานกว่าปกติ เอาวะไหนๆ มันก็มาในเวลาที่ไม่ได้ตั้งใจ ถ้าสวรรค์ต้องการให้ผมดู ผมก็จะดูมัน นั่งดูจนจบ เป็นหนังที่ดีอย่างที่เค้าว่ากันมา เรื่องราวของความรัก รักคนข้างๆ รักเพื่อน(สนิท) มันเป็นอะไรที่อึดอัดพิกล คนเขียนบททำได้ดี คนแสดงก็พอไปได้ ผมชอบตอนที่ ดากานดาพูดกับไข่ย้อย "นายมาทำอะไรตอนนี้" ช่ายตรงเลย มึงมาบอกอะไรกูตอนนี้ มึงจะให้กูทำไง ให้กูเลิกกับเค้ามันเป็นแฟนมึง มันคงเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปได้แล้วมึงจะมองกูเป็นคนยังไง บางครั้งอะไรมันก็ไม่ได้เป็นอย่างคิด หวัง บางอย่างที่ผ่านเข้ามามีทั้งดี ร้าย สมหวัง ผิดหวัง วันเวลาทำให้เกิดกานเรียนรู้นำไปสู่ประสบการณ์ ตอนแรกเข้าใจว่า หนังเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า "รักคนที่เค้ารักเราดีกว่า" คงจะไม่เชิงเพราะ ดากานดา ก็ไม่ได้ไม่ชอบไข่ย้อย เพียงแค่เวลาและการก่อเกิดความสัมพันธ์มันเกิดกันคนละลักษณะ นุ้ยไม่ได้มาอย่างเพื่อน ไม่ได้ทำอะไรบ้าๆ ฮาๆ อย่างเพื่อน โอกาสที่จะเป็นแฟนของนุ้ยเปิดมากกว่าของ ดากานดา บางครั้งอะไรๆ ในชีวิต มันก็เหมือนมีคนขีดเส้น ให้เราเริ่มต้น และสิ้นสุด ภายใต้สิ่งที่ควรจะเป็น มากกว่าสิ่งที่อยากให้เป็น ....

Tuesday, February 06, 2007

ไร้สาระ

"ทำไมชอบทำอะไร ไร้สาระ"
"ทำตัวให้มันดูดีหน่อยไม่ได้หรือไง"
"ชอบทำเป็นเล่น"
"จริงจังซักเรื่องได้มั๊ย"
อะไรคือสาระ ถ้ามันหมายถึงความมีคุณค่าต่อสิ่งที่ทำ แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำไปแล้วไม่มีสาระ นั่งดูบอลมีสาระหรือเปล่า? นั่งกินเบียร์ นั่งดูผู้คนตามป้ายรถเมล์มีสาระมั๊ย นั่งพิมพ์ blog เรื่อยเปลื่อยหล่ะ สาระมันอยู่ตรงไหน ถ้าสาระคือการได้ทำ ได้คิด ได้พูด อย่าเที่ยวไปหาว่าใครทำอะไรไร้สาระหล่ะ

Monday, February 05, 2007

ซาวอะเบ๊า

นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลเสียง ลักษณะเป็นเส้นบางๆ กว้างราวๆ 6-7 มิลลิเมตร บรรจุลงในตลับเรียกกันติดปากคุ้นหูว่าเทปคาสเส๊ด ในยุกต์ที่เครื่องเล่นเพลงดิจิตอลได้รับความนิยมอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็น ipod เครื่องเล่น MP3, MP4 หรือแม้แต่แต่โทรศัทพ์มือถือที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เราติดต่อสื่อสารกันได้ แม้อยู่ที่สถานที่ที่ควรจะได้รับความสงบก็ มันก็ผลักเราออกจากสรรพสิ่งรอบข้างด้วยความสามารถในการเล่นเพลงให้ฟัง ทุกๆ วันไม่ว่าจะเป็นบนรถเมล์ รถไฟฟ้า ในลิฟ ที่ไหนๆ ก็ต้องปรากฎคนผู้ที่ไม่ได้สนใจเสียงรอบข้างนอกจากเสียงจากเจ้าหูฟังสองข้างที่ยัดเยียดเข้าไปยังรูหู หรือที่ถูกต้องเป็นเช่นนั้น ในเมื่อคนรอบข้าง มันก็หาใช่คนรู้จักกับเรา แต่เป็นใครก็ไม่รู้? ผมคงเป็นพวกชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน เพียงเพราะใครก็ไม่รู้รอบข้างมันเปลงเสียงเป็นภาษาที่ผมฟังรู้เรื่อง สิ่งที่เห็นได้ยินมันเป็นความน่าสนใจมากกว่าเพลง ที่เราไปเลือกเปิดฟังเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าฟังเพลงผมก็มักจะเลือกฟังจากวิทยุ ด้วยเหตุนี้แหละครับ ทำให้ผมได้มีโอกาสไปพอคนที่ยังใช้เครื่องเล่นที่ตอนเด็กๆ ผมเรียกมันว่าซาวอะเบ้าอยู่ เสียงของการยัดตลับเทปลงไป เสียงปิดฝา แมคแคนิค ของปุ่มกดมันเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคย แม้นมันจะส่งมาจากคนที่ผมไม่รู้จักด้วยซ้ำ ...

Monday, January 29, 2007

หันหลังพิงโลก

ช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา รู้สึกว่าตัวเองอ่านหนังสือ หรือไม่ก็ดูภาพยนต์จากแผ่น DVD ไปเยอะมาก ไม่ว่าตอนนั่งรถเมล์ไปเพื่อต่อรถไฟฟ้า หรือยืนบนรถไฟฟ้าเพื่อต่อไปยังอาคาร office และใช้ลิฟต่อขึ้นไปยังสถานที่ทำงานผมใช้เวลาเล็กน้อยทีมีจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือบน packet book ขนาดเหมาะมือ หลังเลิกงานในสภาวะการเดินทางเฉกเช่นเดียวกับตอนเดินทางมา ผมเองก็อ่านหนังสืออย่างต่อเนื่อง กลับถึงห้องเมื่อละจากหนังสือ ไม่ต้องพะวงกับสภาพการเดินทางแล้ว ผมก็เปิด DVD ไม่เรื่องใดก็เรื่องนึง อาจจะดูแล้วหรือยังไม่เคยดูก็ตาม จนหลายวันผ่านไปผมรู้สึกว่าตัวเองกำลัง "นั่งหันหลังพิงโลก" ใบนี้ไว้ ผมไม่สนใจสภาพแวดล้อมรอบข้อง (นอกจากในเวลาทำงาน) จะเป็นอย่างไร ราวกับไม่มีผมอยู่ในสถานที่เหล่านั้น บนรถเมล์ รถไฟฟ้า ป้ายรถเมล์ ไม่มีความทรงจำใดๆ ผ่านเข้ามาเลย นอกจากตัวละครในหนังสือที่ติดมือผมอยู่ มันเป็นความทรงจำที่แปลกแยกพิกล ควรแก่การบันทึกเอาไว้ ...

Friday, January 12, 2007

วันเกิด วันของเรา?

"พี่เริ่มรู้สึกว่าวันเกิดมันสำคัญเมื่อไหร่ ?" เป็นคำถามที่โดนใจผมมาก ยิงมาจากน้องคนนึง "มันสำคัญตั้งแต่เริ่มมีคนรู้แหละ ว่าวันนี้มันเป็นวันเกิดพี่".. ตอบไปงั้น เป็นนัยว่าผมเองไม่เคยเห็นว่ามันจะสำคัญอะไรเลยแม้แต่น้อย มันกลับนำมาซึ่งความอึดอัดด้วยซ้ำ ท่ามกลางความหวังชองคนรอบช้าง (ไม่ว่าจะหวังจริงๆ หรือผมคิดไปเองก็ตาม) มันต้องมีอะไรพิเศษสักอย่างเกิดขึ้น อย่างเช่น งานเลี้ยง สังสรรค์ เมามาย เห้ย ต้องฉลองเว้ย .. พอดีปีนี้ไม่สบาย เลยต้องขอยกเลิกกำหนดการเลี้ยงสังสรรค์ที่เพื่อนอันเป็นที่รักได้ตระเตรียมทั้งผู้คนและสถานที่ไว้แล้ว มันนำมาซึ่งความผิดหวังพอสมควร สำหรับผมเองก็คือผิดหวังที่ไม่สามารถทำให้มันเกิดบรรยากาศอย่างนั้นได้ สำหรับเพื่อนก็คงเป็นความผิดหวังที่ความปรารถนาดีแล้วไม่ได้รับการตอบสนอง รักใครให้เหลือใจไว้เผื่อผิดหวังบ้าง รักเพื่อนก็คงไม่ต่างกัน ...