Saturday, March 03, 2007

ความง่ายในวิถีธรรมดา

เมื่อวานมีธุระกับเพื่อนที่ office เดิม เป็นโอกาสให้ผมได้กลับมาเยือนสถานที่ทำงาน ที่ผมถือว่าเป็นสถานที่ทำงานที่เปลี่ยนรูปแบบการทำการ ความคิดในการทำงานของผมไปเยอะทีเดียว คงด้วยระยะเวลาลาที่ผมทำงานที่นี่นานกว่าทุกๆ ที่ที่เคยทำ ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง จนผมต้องปรับตัวเอง กลายเป็นคนที่เลือกที่จะไม่ทำอะไรบ้าง เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องไปยุ่งกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายบางเรื่อง ผิดกับการทำงานแรกๆ ที่ผมจะทำทุกอย่างที่คิดว่าทำได้ หรือทุกๆ การร้องขอ แต่ผลที่ได้หลายๆ ครั้งมันทำให้ผมโดนตำหนิติติงโดยที่ผมไม่สามารถอ้างไดเลย ว่ามันไม่ใช่งานของผม เพราะเมื่อผมทำ ผมก็ต้องรับผิดชอบ เมื่อคุณอ้างว่าไม่ใช่งานของคุณบ่อยเข้า การคบหาเพื่อหวังผลประโยชน์จากความสามารถของคุณมันก็จะเบาบางลง คงเหลือเฉพาะความสัมพันธ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในหน้าที่มากนัก จะเรียกว่าการกรองเพื่อนแท้ออกจาหการงานก็ว่าได้ จะบอกว่าผมได้กลายเป็นคนเมืองที่แฝงไว้ด้วยความเห็นแก่ตัวก็ว่าได้

เสร็จธุระก็เดินทางกลับวันนี้อยากกินข้าวหมูกรอบเลยแวะกินร้านประจำ (ประจำคือกินบ่อยกว่าร้านอื่น แต่ไม่ได้กินถี่ถึงขนาดอาทิตย์ละสองสามครั้งนะครับ แต่ถ้าเป็นข้าวหมูกรอบส่วนใหญ่จะเป็นร้านนี้) ลูกสาวของร้านนี้เป็นวัยรุ่นอายุไม่น่าจะเกิน 18 แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักให้ผมเลือกกินร้านนี้นะครับ เพียงแต่เป็นคนที่สะดุดตาผมทุกครั้งที่มากิน สังเกตุว่าหลังๆ เธอหายไป แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะไปถามไถ่ว่าเธอหายไปไหน ทั้งนี้เราเองก็ไม่ใช่คนรู้จัก หรือญาติพี่น้องกันเสียด้วยสิ วันนี้เธอกลับมาในรูปแบบที่ผมแทบจำไม่ได้ ด้วยการแต่งหน้าที่จัดจ้าน นี่ถ้าเป็นตามสถาบบันเทิง หรือแหล่งชุมนุมของวันรุ่นอย่างสยาม คงไม่แปลกใจ แต่นี่มันตลาดนนท์ นึกแปลกใจเหมือนกันว่าที่เธอหายไป เธอหายไปไหน แล้วไปทำอะไร เธอกลับมาที่ร้านโดยไม่มีการว่ากล่าวอะไรจะผู้เป็นแม่ หมายความว่าทุกคนรู้ที่มาที่ไปของสภาพการแต่งกายทาหน้าแบบนี้ กินเสร็จผมก็เดินไปจ่ายตัง เธอเดิมมาที่ผมแล้วบอกว่า 26 บาท ผมบอกไปว่าผมมีใส่ห่ออีก 2 เธอบอกงั้นก็ 76 .. เธอถามผมว่าผมมีเหรียญบาทหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจในตอนแรกนักว่าได้ยินคำถามนี้ จึงถามกลับไป "เท่าไหร่นะครับ?" เธอบอก "76 บาทคะ พี่มีเหรียญบาทหรือเปล่า?" ผมบอกผมมีเศษ 4 บาท น้องจะเอาเท่าไหร่ เธอบอก "บาทเดียวคะ" เธอทำหน้าฉงนเล็กน้อย ก่อนหยิบเหรียญบาทจากมือผมไป สักพัก เธอกลับมาพร้อมตังทอนยื่นให้ผม "ทอน 25 บาทคะ" ผมรับมาแล้วก็เดินจากไป ผมคิดว่าธรรมชาติทั่วไปของการทอนตัง ถ้าเศษไม่เกิน 4 บาทถึงน่าจะมีการร้องขอเศษเหรียญ เช่น พี่มีเศษบาทนึง หรือสองบาทหรือเปล่า แต่นี่เป็นเศษ 1 บาท จากราคา 76 บาท ผมอาจจะคิดมากไป หรือเพราะผมเป็น programmer การปัดเศษมันควรจะเป็นเศษที่ไม่เกิน 4 เดินไปได้สักพัก ผมก็คิดได้ว่าทอน 25 มันก็ดีกว่าทอน 24 อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องมีเหรียญหลายเหรียญติดกระเป๋า มันก็มีแต่ข้อดีนี่น่า! ต้องยอมรับครับว่า logic ในสมองแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน วิถีแห่งความง่าย คือวิถีแห่งชาวบ้าน มันออกมาจากความคุ้นเคย ประสบการณ์ ไม่ใช่จากหลักการ หรือตรรกใดๆ ผมคงต้องเรียนรู้วิถีอย่างนี้บ้าง เชื่อในคนอื่นบ้าง อย่าเชื่อแต่ตัวเองเพียงฝ่ายเดียว ...

No comments: