หนังที่อยู่ในกรุมานาน ที่ไม่ได้หยิบมาดูก็เพราะแผ่นที่มีมัน sub นรก ดูแล้วเสียอารมณ์ วันนี้ได้แผ่นมาจาก office เลยได้โอกาสเปิดดูซะหน่อย หลังจากหมดเวลาทั้งวัน (ทั้งวันจริงๆ) ไปกับการนอน ปกติผมชอบดูหนัง animation อยู่แล้ว แรกเริ่มเลยคืออยากทำงานพวกนี้ ตั้งแต่ความทึ่งใน Toy Story แล้ว หลักจากนั้นผมก็ติดตามหนัง animation มาแทบทุกเรื่อง หลายๆ เรื่องไม่ใช่เพียงแค่ความอลังการและสุดยอดของเทคนิคการนำเสนอ แต่แทบทุกเรื่องแฝงด้วยสาระ มี plot ที่สวยเก๋ หลายๆ เรื่องก็ให้กำลังใจในชิวิตได้ดี หลายๆ คนอาจจะมองว่าเป็นเพียงแค่การ์ตูน เด็กๆ เค้าดูกัน สำหรับผม มันไม่จริง ซะทีเดียว เรื่องเด็กๆ แบบนี้ บางทีดูแล้วก็ซึมลึก น้ำตาคลอได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็กๆ ก็เหอะ หลังจากดูจบ ผมได้อะไรจากการดูหนังเรื่องนี้ ก็อย่างหัวข้อที่บอกนั่นแหละครับ "Keep Moving Forward" ในบทพูดภาษาไทยก็คือ "จงลืมความผิดหวังในอดีต และเดินหน้าต่อไป" มันก็จริงๆ นะครับ ทำไมต้องให้ชิวิตเรามันโดนฉุนรั้งด้วยอดีต ที่ความเป็นจริงคือ เราแก้ไขอะไรมันไม่ได้แล้ว ปัจจุบันต่างหาก ที่จะเป็นตัวชี้อนาคตของเรา ว่ามันจะดีจะแย่ หรือจะมีความสุขหรือไม่ ดังนั้นเมื่อเจอความผิดหวังไม่ว่าจากอะไร จงจำเอาไว้ว่า "Keep Moving Forward" นะครับ
เห้ย หนังเรื่องไรฟะ อาจจะงง ชื่อหนังคือ "Meet The Robinsons" ครับผม
เออมีตอนนึงแม่ของครอบครัวนี้บอกกับลูอีส ในตอนที่เค้าซ่อมเครื่องยิงเนยถั่วแล้วผิดพลาดว่า
"คนเราเรียนรู้จากความผิดพลาด มากกว่าความสำเร็จ นะจ๊ะ" ผมชอบเหมือนกัน
Sunday, June 29, 2008
Saturday, June 28, 2008
ผู้ชำนาญการในการเดินสวน
ไม่รู้จะตั้งหัวข้ออะไรให้เหมาะกับเรื่องของวันนี้ พอดีมีหน้าที่ต้องไป office ทำงานกะดึก(มาก) อีกแล้ว ด้วยความที่ไหนๆ จะออกจากห้องแล้ว ต้องหากิจกรรมเสริม โดยการ เอากล้องไปด้วย นานมาแล้วเคยมีโปรเจ็กจะไปถ่ายรูปสถานที่เปิดไฟสวยๆ ในยามค่ำคืน วันนี้เลยกะว่าแยกลาดพร้าวนี่แหละวะ ต้องไปถ่ายซะหน่อย (อย่าถามผมนะว่ามันเปิดไฟสวย ยังไง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้สึกผ่านไปผ่านมาบ่อย รถราวิ่งกันควักไขว่ น่าจะทำให้แสดงไฟสวย ทีเดียว - ความคิด) แต่พอชะโงกหน้ามองฟ้าเท่นั้นแหละ โอ้ว แม่เจ้า ฟ้าที่เคยแจ่มจรัส มาหลายวัน ไหงเต็มไปด้วยเมฆกันหล่ะเนี๊ย ตั้งใจจะไปถ่ายภาพทีไร ต้องเจอแบบนี้ทุกทีสิน้า ไม่เป็นไร ออกเร็วหน่อย แวะสวนด้วยดีกว่า (สวนที่ว่าคือสวนจตุจัก) เพื่อนๆ ใกล้ชิดคงรู้ดีว่าผมไม่ชอบการเดินสวนเข้าขั้น เคยเอยไว้ว่า "ถ้ากูคบใครนะ แล้วมาช่วนกูไปเดินสวน กูจะไม่ไปแล้วไม่สนใจ" แต่นั่นมันเป็นเรื่องนานมาแล้ว เอาเข้าจริง ผมเองก็ไปเดินสวนจตุจักบ่อยเหมือนกัน วันนีก็อีกเช่นกัน เป้าหมายคราวนี้คือ ไปหาดูเสื้อวอร์ม adidas แบบที่เจ้าตัวร้ายในหนัง หรือเกมส์มันชอบใส่กัน ไปสวนเพราะอยากได้ที่มันเหมือนๆ กันเท่านั้นแหละ วันก่อนจะไปดูที่เซนทรัลลาดพร้าว เพราะมีงาน adidas sale แต่มันต้องฝากกระเป๋า ไม่อยากเอา notebook ไปฝากใคร เลยไม่ได้เดินเข้าไปดู
ผมเดินไปเกือบๆ สองชั่วโมงเจอร้านขายเสื้อแบบที่ต้องการอยู่สองร้าน แต่ลองจับเนื้อผ้าดูแล้วไม่ work เลยหว่ะ ถึงหน้าตามันจะดูเข้าที แต่เนื้อผ้าไม่เป็นที่ถูกใจซักเท่าไหร่ ใจนึงคิดจะย้อนไปที่ central อีกรอบ แต่คิดอีกทีเดินไปดูตามเสื้อผ้ามือสองดีกว่าถูกแล้วก็แท้ด้วย (หรือเปล่าวะ) เลยเดินไปละเลียดโซนเสื้อผ้ากระสอบ (ว่ากันว่ามันยัดมาขายเป็นกระสอบ คนแยกขาย ก็แล้วแต่ดวง) ระหว่างทางเดินผ่านร้านต้นไม้ อดไม่ได้ที่จะมองหาคนรู้จัก เผื่อเธอจะมาเดินดูต้นไม้ (ตกลงตูจะหาเสื้อหรือหาคนวะเนี๊ย?) ไม่เจอหรอกครับมองไปด้วยความคิดถึงเท่านั้นแหละ เวลาคุณคิดถึงใครหน้าคนนั้นมันจะชอบไปแปะบนหน้าคนอื่น ข้อนี้ผมต้องพึงระวังให้ดีเลย เออ สุดท้ายก็ได้มาเมือสองเก่าชมัด แต่เนื้อผ้า ok ราคาดันเท่ากับมือ 1 ของก๊อป เป็นคุณจะเลือกอันไหน ผมเลือกรักแท้ เห้ย ของแท้ ถึงมันจะเก่าหน่อย แต่มันก็คือของแท้ :D เดินสวนจนลิ้นห้อย แต่ก็ถือประประสบผลสำเร็จได้ของมา คุณเชื่อมั๊ย น้อยครั้งที่ผมมาเดินสวน แล้วได้ของกลับ เพราะส่วนใหญ่ ผมจะหาไม่เจอ นั่นไงหล่ะ ผมเลยนึงถึงคนๆ นึงซึ่งเป็นคนที่ผมเรียกว่า "ผู้ชำนาญการในการเดินสวน" ผมเคยไปบอกเธอแล้ว ว่าผมรู้สึกอย่างนั้น เธอบอกผมกลับมาว่า ชำนาญจริง แต่ชำนาญแค่ 2 ซอย -_-" (ผมรู้น่าว่าซอยไหนบ้าง 55)
กลับมาถึง office จัดแจงเตรียมกล้อง มันต้องได้ภาพซักหน่อยแหละ แล้วก็เดินออกจาก office ข้ามสะพานลอยไปฝั่งเซนต์จอน เดินไปข้ามสะพานลอยอีกทีตรงถนนลาดพร้าวข้ามสะพานลอยก่อนถึง ปตท. เดินเลาะรั้วกลับมาข้ามสะพานลอบตรงหน้าธนาคารทหารไทย เดินรอบ 5 แยกลาดพร้าว ถึงกับหอบแฮก ตอนแรกกะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สีลมด้วย ไหนๆ ก็เอากล้องมาแล้ว สุดท้ายก็ถอดใจ หลังจากนั่งกินก๊วยเตี๊ยว มือยังสั่นเลย เวรจริงๆ เกิดไปเป็นลมเป็นแล้งมา คงดูไม่จืด กลับขึ้น office ยังไม่ได้ใกล้เวลาเริ่มงานเลย ไปนั่งเม๊ากับยามอีก เหอะๆ แกคุยสบัดเหมือนเดิม ...
ผมเดินไปเกือบๆ สองชั่วโมงเจอร้านขายเสื้อแบบที่ต้องการอยู่สองร้าน แต่ลองจับเนื้อผ้าดูแล้วไม่ work เลยหว่ะ ถึงหน้าตามันจะดูเข้าที แต่เนื้อผ้าไม่เป็นที่ถูกใจซักเท่าไหร่ ใจนึงคิดจะย้อนไปที่ central อีกรอบ แต่คิดอีกทีเดินไปดูตามเสื้อผ้ามือสองดีกว่าถูกแล้วก็แท้ด้วย (หรือเปล่าวะ) เลยเดินไปละเลียดโซนเสื้อผ้ากระสอบ (ว่ากันว่ามันยัดมาขายเป็นกระสอบ คนแยกขาย ก็แล้วแต่ดวง) ระหว่างทางเดินผ่านร้านต้นไม้ อดไม่ได้ที่จะมองหาคนรู้จัก เผื่อเธอจะมาเดินดูต้นไม้ (ตกลงตูจะหาเสื้อหรือหาคนวะเนี๊ย?) ไม่เจอหรอกครับมองไปด้วยความคิดถึงเท่านั้นแหละ เวลาคุณคิดถึงใครหน้าคนนั้นมันจะชอบไปแปะบนหน้าคนอื่น ข้อนี้ผมต้องพึงระวังให้ดีเลย เออ สุดท้ายก็ได้มาเมือสองเก่าชมัด แต่เนื้อผ้า ok ราคาดันเท่ากับมือ 1 ของก๊อป เป็นคุณจะเลือกอันไหน ผมเลือกรักแท้ เห้ย ของแท้ ถึงมันจะเก่าหน่อย แต่มันก็คือของแท้ :D เดินสวนจนลิ้นห้อย แต่ก็ถือประประสบผลสำเร็จได้ของมา คุณเชื่อมั๊ย น้อยครั้งที่ผมมาเดินสวน แล้วได้ของกลับ เพราะส่วนใหญ่ ผมจะหาไม่เจอ นั่นไงหล่ะ ผมเลยนึงถึงคนๆ นึงซึ่งเป็นคนที่ผมเรียกว่า "ผู้ชำนาญการในการเดินสวน" ผมเคยไปบอกเธอแล้ว ว่าผมรู้สึกอย่างนั้น เธอบอกผมกลับมาว่า ชำนาญจริง แต่ชำนาญแค่ 2 ซอย -_-" (ผมรู้น่าว่าซอยไหนบ้าง 55)
กลับมาถึง office จัดแจงเตรียมกล้อง มันต้องได้ภาพซักหน่อยแหละ แล้วก็เดินออกจาก office ข้ามสะพานลอยไปฝั่งเซนต์จอน เดินไปข้ามสะพานลอยอีกทีตรงถนนลาดพร้าวข้ามสะพานลอยก่อนถึง ปตท. เดินเลาะรั้วกลับมาข้ามสะพานลอบตรงหน้าธนาคารทหารไทย เดินรอบ 5 แยกลาดพร้าว ถึงกับหอบแฮก ตอนแรกกะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สีลมด้วย ไหนๆ ก็เอากล้องมาแล้ว สุดท้ายก็ถอดใจ หลังจากนั่งกินก๊วยเตี๊ยว มือยังสั่นเลย เวรจริงๆ เกิดไปเป็นลมเป็นแล้งมา คงดูไม่จืด กลับขึ้น office ยังไม่ได้ใกล้เวลาเริ่มงานเลย ไปนั่งเม๊ากับยามอีก เหอะๆ แกคุยสบัดเหมือนเดิม ...
หยุด จากสิ่งใด?
...ทุกๆ การเดินทางค้นหา
ไม่จำเป็นต้องได้มาถึงจุดหมาย
แต่การเดินทางด้วยหัวใจ
กลับมีความหมายในทุกห้วงเวลา
...ฉันมองฉันเห็นความเคลื่อนไหว
ของหัวใจดวงใดๆ ที่กำลังค้นหา
ฉันพยายามมองเข้าไปในแววตา
แต่ละคนสุขกับการค้นหานั้นเพียงใด
..บางคนก็สุขจนล้นเหลือ
บางคราก็ทุกข์เหลือคนา
บางหนก็ต้องทนกับปัญหา
เพื่อได้มาซึ่งกำลังใจ ต่อที่หมาย
..เมื่อมองกลับมาที่ตัวฉัน
นี่เรา เดินทางเพื่อคนหาสิ่งใด
เมื่อจุดหมายในวันนี้มันแสนจะลางเลือน
เลื่อนลอยเกินจะเอื้อมมือไปไขว่คว้า
ไม่มีสิ่งใดให้ได้มา
เพื่อสร้างเสริมพลังใจในรอยทาง
...ฉันควรหยุดที่ตรงไหน
หยุดใจที่ไขว่ขว้า
หยุดเวลาที่สับสน
หยุดทุกสิ่งที่คิดคำนึง
หรือหยุดความคิดถึงที่เกิดขึ้น ทุกเวลา ..
ไม่จำเป็นต้องได้มาถึงจุดหมาย
แต่การเดินทางด้วยหัวใจ
กลับมีความหมายในทุกห้วงเวลา
...ฉันมองฉันเห็นความเคลื่อนไหว
ของหัวใจดวงใดๆ ที่กำลังค้นหา
ฉันพยายามมองเข้าไปในแววตา
แต่ละคนสุขกับการค้นหานั้นเพียงใด
..บางคนก็สุขจนล้นเหลือ
บางคราก็ทุกข์เหลือคนา
บางหนก็ต้องทนกับปัญหา
เพื่อได้มาซึ่งกำลังใจ ต่อที่หมาย
..เมื่อมองกลับมาที่ตัวฉัน
นี่เรา เดินทางเพื่อคนหาสิ่งใด
เมื่อจุดหมายในวันนี้มันแสนจะลางเลือน
เลื่อนลอยเกินจะเอื้อมมือไปไขว่คว้า
ไม่มีสิ่งใดให้ได้มา
เพื่อสร้างเสริมพลังใจในรอยทาง
...ฉันควรหยุดที่ตรงไหน
หยุดใจที่ไขว่ขว้า
หยุดเวลาที่สับสน
หยุดทุกสิ่งที่คิดคำนึง
หรือหยุดความคิดถึงที่เกิดขึ้น ทุกเวลา ..
Friday, June 27, 2008
ดวงตาที่ว่างเปล่า
วันนี้ระหว่างนังฟังเพลงแล้วก็ config ระบบไปด้วย ปกติเวลา config ระบบที่มีการวางแผนไว้ก่อนแล้ว ผมมักจะทำไปพร้อมๆ กับการเปิดเพลงกระแทรกรูหู จริงๆ คือฟังเพลงไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ แต่มันก็ทำให้ผมไม่วอกแวกกับเสียงต่างๆ รอบข้าง ดนตรีมันมีจังหว่ะและทำนอง ถีงเราไม่ได้ตั้งใจฟังก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันทำให้จังหว่ะการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอ ร่วมถึงการทำงานมันค่อยข้างจะต่อเนื่อง ผมก็เห็นนะว่ามีคนมาเดินๆ รอบๆ คุยกันอะไรซักอย่างให้เห็นแว๊บๆ อยู่นานพอควร แต่ผมก็ไม่ค่อยได้สนใจ สักพักคณะนั้นก็มาหยุดอยู่ที่หน้าผม ด้วยความที่พี่สาวจ้องมาที่ผม ผมเลยต้องถอดหูฟังออก แกถามผมว่าเค้ามาเดินทำอะไรกันนี้ไม่สนใจเลยนะ ผมขยับปากกำลังจะตอบ (จริงๆ คือไม่รู้จะตอบอะไรเพราะไม่ได้สนใจจริงๆ) ช่วงจังหว่ะนั้นเองที่เค้ารอคำตอบ สักพักในหนึ่งชั่วขณะจิต แกก็เอยมาบอกว่า "ด้วงตาเอ็งนี่โคตรว่างเปล่าเลยหว่ะ" แล้วก็เดินจากไป ผมก็จัดแจงเสียหูฟังแล้วก็ทำงานที่ผมทำค้างอยู่ต่อไป ไม่ได้ใส่ใจอะไร พองานเสร็จผมถึงได้มีโอกาสถามว่าเค้ามาทำอะไรกัน ท้ายที่สุดผมติดใจตรงดวงตาที่ว่างเปล่านี่แหละ มันเป็นยังไงหว่า มองตานี่ทะลุไปถึงความคิดที่กรวงโบ๋ในขณะนั้นเลยเหรอ? จะบอกว่ามันว่าเปล่าเฉพาะกับเรื่องที่พี่ถามผมเท่านั้นแหละนะ แต่ความจริงๆ ดวงตาที่ว่าเปล่าคู่นี้ซ่อนความสับสนไว้ภายใน อย่างที่พี่สาวของผมคนนี้ไม่สามารถคาดเดาได้เลยแหละ :P
>> วันนี้พี่ที่ office มาคุยด้วยเรื่อง SPAM mail
พี่: เห้ยช่วงนี้ spam เยอะมากเลยหว่ะ ลูกค้าโทรมาด่า ว่า spam ไวอะก้าเยอะมากเค้าไม่ต้องการ
ผม: พี่มันก็มีมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ อีกอย่างบางคนอาจจะอยากอ่านก็ได้
พี่: เห้ย ลูกค้าพี่เค้ามีลูกแล้วเว้ย ไม่ต้องการไวอะก้าแล้ว
ผม: เกี่ยวอะไรพี่
พี่: ก็เกี่ยวดี มีลูกแล้วจะเอาไวอะก้าไปทำไม
ผม: พี่เค้าไว้เพื่อความบันเทิงไม่ใช่เหรอ?
... เสียงหัวเราะเกลียวเกิดขึ้นรอบๆ ...
.ผมกับพี่ สลายตัวในบัดดล ดันจะโกนคุยกัน ลั่น office ... เสียภาพลักษณ์หมด 55
>> วันนี้พี่ที่ office มาคุยด้วยเรื่อง SPAM mail
พี่: เห้ยช่วงนี้ spam เยอะมากเลยหว่ะ ลูกค้าโทรมาด่า ว่า spam ไวอะก้าเยอะมากเค้าไม่ต้องการ
ผม: พี่มันก็มีมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ อีกอย่างบางคนอาจจะอยากอ่านก็ได้
พี่: เห้ย ลูกค้าพี่เค้ามีลูกแล้วเว้ย ไม่ต้องการไวอะก้าแล้ว
ผม: เกี่ยวอะไรพี่
พี่: ก็เกี่ยวดี มีลูกแล้วจะเอาไวอะก้าไปทำไม
ผม: พี่เค้าไว้เพื่อความบันเทิงไม่ใช่เหรอ?
... เสียงหัวเราะเกลียวเกิดขึ้นรอบๆ ...
.ผมกับพี่ สลายตัวในบัดดล ดันจะโกนคุยกัน ลั่น office ... เสียภาพลักษณ์หมด 55
Thursday, June 26, 2008
กล้าที่จะฝัน แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ (ในตอนนี้) แบบของ John Lennon.
ฟังเพลงนี้แล้วก็นั่งอมยิ้ม ผมเองก็มีความฝัน แต่ฝันถึงแต่เรื่องของตัวเอง ขนาดแค่นี้มันยังเป็นไปได้ยาก นายคนนี้กล้าฝันถึงขนาดเปลี่ยนแปลงโลก มีใครเคยบอกว่าไว้ว่า "อยากให้โลกนี้เป็นยังไง จงทำมัน" สิ่งต่าง ในโลกทีเราเห็นอยู่ทุกวันนี้ก็มักจะมาจากความคิดเพ้อฝันอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการบินเหมือนนกการหายใจใต้น้ำเหมือนปลา การออกไปสัมผัสกับดวงดาวในจักรวาล ความฝันเป็นของฟรี ที่พระเจ้าประทานมาให้เรา ให้สมองของคนตัวเล็กๆ อย่างเรา สามารถฝันถึงการเปลี่ยนแปลงโลกใบใหญ่ ฝันถึงสิ่งที่สวยงาม ฝันถึงใครบางคน แม้นในความเป็นจริง มันจะเป็นไปได้ยาก หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ...
John lennon - Imagine
Imagine there's no heaven
It's easy if you try
No hell below us
Above us only sky
Imagine all the people
Living for today...
จินตนาการว่าไม่มีสวรรค์
มันง่ายมากถ้าคุณลอง
ไม่มีนรกอยู่เบื้องล่าง
เบื่องบนมีแต่ท้องฟ้า
จินตนาการว่ามนุษย์ทุกคน
มีชิวิตอยู่เพื่อวันนี้ ..
Imagine there's no countries
It isn't hard to do
Nothing to kill or die for
And no religion too
Imagine all the people
Living life in peace...
จินตนาการว่าไม่มีประเทศเขตแดน
มันไม่ยากที่จะทำ
ไม่มีสิ่งใดที่ได้มาด้วยการเข่นฆ่า หรือสังเวยด้วยชิวิต
และไม่มีลัทธิใดๆ
จินตนาการว่าทุกคน
ดำรงชีวิตด้วยสันติ
You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will be as one
เธอาจจะมองว่าฉันเพ้อฝัน
แต่ฉันไม่ใช่แค่คนเดียวหรอก
ฉันหวังว่าวันนึง คุณจะมาร่วมกัน
และโลกทั้งโลกจะเป็นหนึ่งเดียว
Imagine no possessions
I wonder if you can
No need for greed or hunger
A brotherhood of man
Imagine all the people
Sharing all the world...
จินตนาการวาไม่มีความเห็นแก่ตัว
ฉันจะประหลาดใจมากถ้าคุณทำได้
ไม่มีความโลภและคนความอดอยาก
อยู่กันอย่างพี่น้อง
จินตนาการ ว่าผู้คนทั้งหมด
มีความเผื่อแผ่กันทั้งโลก
You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will live as one
John lennon - Imagine
Imagine there's no heaven
It's easy if you try
No hell below us
Above us only sky
Imagine all the people
Living for today...
จินตนาการว่าไม่มีสวรรค์
มันง่ายมากถ้าคุณลอง
ไม่มีนรกอยู่เบื้องล่าง
เบื่องบนมีแต่ท้องฟ้า
จินตนาการว่ามนุษย์ทุกคน
มีชิวิตอยู่เพื่อวันนี้ ..
Imagine there's no countries
It isn't hard to do
Nothing to kill or die for
And no religion too
Imagine all the people
Living life in peace...
จินตนาการว่าไม่มีประเทศเขตแดน
มันไม่ยากที่จะทำ
ไม่มีสิ่งใดที่ได้มาด้วยการเข่นฆ่า หรือสังเวยด้วยชิวิต
และไม่มีลัทธิใดๆ
จินตนาการว่าทุกคน
ดำรงชีวิตด้วยสันติ
You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will be as one
เธอาจจะมองว่าฉันเพ้อฝัน
แต่ฉันไม่ใช่แค่คนเดียวหรอก
ฉันหวังว่าวันนึง คุณจะมาร่วมกัน
และโลกทั้งโลกจะเป็นหนึ่งเดียว
Imagine no possessions
I wonder if you can
No need for greed or hunger
A brotherhood of man
Imagine all the people
Sharing all the world...
จินตนาการวาไม่มีความเห็นแก่ตัว
ฉันจะประหลาดใจมากถ้าคุณทำได้
ไม่มีความโลภและคนความอดอยาก
อยู่กันอย่างพี่น้อง
จินตนาการ ว่าผู้คนทั้งหมด
มีความเผื่อแผ่กันทั้งโลก
You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will live as one
Wednesday, June 25, 2008
ข้าวเหลือ
เมื่อเช้ารีบออกจากห้องไปหน่อย ลืมเอาข้าวที่เหลือจากเมื่อคืนเข้าตู้เย็น แล้วก็ลืมไปเลย วันนี้กลับมาข้าวที่เหลือมันก็บูดซะแล้ว จัดแจงเอาน้ำเทใส่ แล้วก็เทข้าวทั้งหมดลงชักโครก แล้วก็กดให้มันไหลไปรวมกันที่บ่อปฏิกูลใต้คอนโด จำได้ว่าอยู่ที่บ้านไม่เคยทิ้งข้าวไปเปล่าๆ แบบนี้ ปกติซากของการกินเหลือ ก็จะโดนทิ้งลงถึงข้าวหมู แต่ถ้าเหลือคาหม้อ ก็จะเอาไปขยำใส่กระด้งตากแดด พอแห้งก็เอาเก็บไว้ในปี๊ป เคยถามย่าเหมือนกันหว่า ทำแบบนี้ทำไม ย่าบอกว่า มันขายได้ เค้าเอาไปต้มผสมน้ำข้าวกับรำ หรือไม่ก็ต้นกล้วยให้หมูกิน ไม่เคยเห็นจริงๆ เหมือนกันว่าเค้าทำกันยังไง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อที่ย่าบอก วันนี้เทข้าวทิ้งหน้าตาเฉย ย่าคงไม่หาว่าผมเนรคุณต่อกระดูกสันหลังของชาติหรอกนะ ปกติเวลากินข้าวเหลือแล้วเพื่อนบอกกินให้หมดเถอะเสียดาย สงสารชาวนา ผมจะบอกเค้าว่า จะไปสงสารทำไม กินหมดมันก็ไม่ได้ทำให้เค้าขายข้าวได้เพิ่มขึ้นหรอก แจ่มไหมหล่ะหลานย่า จริงๆ ก็ประชดประชันไปงั้นแหละ ปกติพยายามไม่ให้เหลืออยู่แล้ว ไอ้คนที่คิดแบบนี้จริงๆ (ไม่นับผมนะ ผมคิดเล่น) มันแย่เหมือนกันนะ มันทุนนิยมเข้าใส้เลย พอซื้อได้ก็ถือเป็นสิทธิ์ของตัว จะทิ้งจะขว้าง ไม่ดูแลยังไงก็ได้ ถือว่าถือสิทธิ์ขาดในของสิ่งนั้นไปแล้ว ตอนอยากได้บางทีก็ยอมทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา คนเรามันเป็นอย่างนี้เยอะเหมือนกันนะ พอได้มา ก็ลืมคุณค่าของมันไป ลืมความรู้สึกก่อนที่จะได้มา ว่าเราอยากได้มันขนาดไหน ไม่ดูแลให้ดีเหมือนเก่า .. ผมพูดถึงสิ่งของนะ ไม่ได้หมายความซ้อนเร้นแต่อย่างใด ...
Tuesday, June 24, 2008
หรือเราก็เป็นคนแปลกแยก จำพวกนึงหว่า
วันนี้ระหว่างนั่งช่วยน้องที่ office install โปรแกรม มันก็ถามผมว่า
น้อง: พี่ เวลาพี่ติดปัญหาแก้ไม่ออกพี่โทรไปหาใครอะ
ผม: เปล่าหว่ะ ถาม google
น้อง: มันต้องมีบ้างสิพี่ อย่างผมก็โทรหาพี่เวลาติดปัญหา
ผม: เห้ยไม่มีหว่ะ ส่วนใหญ่ถ้าติด โทรไปหาใคร ไม่เคยมีใครช่วยได้ หลังๆ เลยไม่โทร อีกอย่างงานพวกนี้เพื่อนๆ ไม่ค่อยมีใครทำด้วย
น้อง: อืมม แปลกดีพี่ ..
ใครแปลกว่า หรือแปลกตรงไหน ไม่ได้ถามมันกลับด้วย วันนี้ระหว่างนั่งเรือก็ได้ทบทวนเรื่องราวนี้อีกที (นี่ถ้านั่งทุกวัน สักวันต้องบรรลุโสดาบันแน่เลยหว่ะ) ผมเองก็มีคนโทรมาหาบ่อย เมื่อวันก่อนน้องคนนึงก็บอกว่าเวลามีปัญหากับคอมพ์ หน้าผมจะลอยมาทุกที เพื่อนโทรมาถามเรื่องซื้อของเกี่ยวกับคอมพ์ คนซื้อ RAM ก็ถาม ว่าอันไหนดี อืมม แล้วเวลาผมมีปัญหาผมถามใคร? ให้ตายเถอะหว่ะ น้อยครั้งมากที่ผมจะถาม หรือเพราะผมเชื่อคนยากวะ บอกแล้วก็ยังไม่เชื่อในทันที เอาไปหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกเพียบ หรือท้ายที่สุดจะซื้ออย่างมันบอกก็นั่นแหละ -_-"
ลองย้อนไปในอดีต ผมเองไม่ได้เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่แรก สมัยทำงานใหม่ๆ ตั้งแต่ตอนเรียน มีพี่คนนึงผมถามอะไรแก แกไม่เคยบอกผมตรงๆ มีแต่ให้ไปอ่าน docs หรือไม่ก็ manual ตลอด ผมเลยชิน อยากรู้อะไรก็จะไปหาอ่าน หลังๆ internet บูม อ่านทั้งเว็บบอร์ด ทั้งไทยทั้ง eng อ่านมันเข้าไป แรกติดนิสัยบอกให้คนที่มาถามผมไปอ่าน manual ด้วย แต่หลังๆ เริ่มผ่อนคลาย บางทีบอกมันไปเลย มันก็จะจบแล้วจะไปให้มันเสียเวลาอ่านทำไม แต่มักจะเจอประมาณ มาถามปัญหาเดิมๆ ซ้ำๆ เพราะ ว่ากันว่าถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง มันมักไม่ค่อยจำ (ทุกเรื่องมั๊ยนะ) ไม่รู้คนทั่วไปเค้าเป็นกันหรือเปล่า แต่ผมประเภทถ้าทำเองได้ เลือกทำเองก่อน ถ้าไม่ได้ ต้องคิดก่อนว่าทำไมถึงไม่ได้ ขาดอะไร ถ้าขาดอุปกรณ์ก็จะไปซื้อมา บางครั้งค่าอุปกรณ์มันมูลค่ามากกว่าไอ้งานที่ทำสำเร็จซะอีก เออหว่ะ แต่ว่าพี่คนนั้นเค้าคงเปลี่ยนไปแล้วเหมือนกัน ไม่นานมานี้เค้าโทรมาถามอะไรผมซักอย่างนี่แหละ เกี่ยวกับคอมพ์ ...
น้อง: พี่ เวลาพี่ติดปัญหาแก้ไม่ออกพี่โทรไปหาใครอะ
ผม: เปล่าหว่ะ ถาม google
น้อง: มันต้องมีบ้างสิพี่ อย่างผมก็โทรหาพี่เวลาติดปัญหา
ผม: เห้ยไม่มีหว่ะ ส่วนใหญ่ถ้าติด โทรไปหาใคร ไม่เคยมีใครช่วยได้ หลังๆ เลยไม่โทร อีกอย่างงานพวกนี้เพื่อนๆ ไม่ค่อยมีใครทำด้วย
น้อง: อืมม แปลกดีพี่ ..
ใครแปลกว่า หรือแปลกตรงไหน ไม่ได้ถามมันกลับด้วย วันนี้ระหว่างนั่งเรือก็ได้ทบทวนเรื่องราวนี้อีกที (นี่ถ้านั่งทุกวัน สักวันต้องบรรลุโสดาบันแน่เลยหว่ะ) ผมเองก็มีคนโทรมาหาบ่อย เมื่อวันก่อนน้องคนนึงก็บอกว่าเวลามีปัญหากับคอมพ์ หน้าผมจะลอยมาทุกที เพื่อนโทรมาถามเรื่องซื้อของเกี่ยวกับคอมพ์ คนซื้อ RAM ก็ถาม ว่าอันไหนดี อืมม แล้วเวลาผมมีปัญหาผมถามใคร? ให้ตายเถอะหว่ะ น้อยครั้งมากที่ผมจะถาม หรือเพราะผมเชื่อคนยากวะ บอกแล้วก็ยังไม่เชื่อในทันที เอาไปหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกเพียบ หรือท้ายที่สุดจะซื้ออย่างมันบอกก็นั่นแหละ -_-"
ลองย้อนไปในอดีต ผมเองไม่ได้เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่แรก สมัยทำงานใหม่ๆ ตั้งแต่ตอนเรียน มีพี่คนนึงผมถามอะไรแก แกไม่เคยบอกผมตรงๆ มีแต่ให้ไปอ่าน docs หรือไม่ก็ manual ตลอด ผมเลยชิน อยากรู้อะไรก็จะไปหาอ่าน หลังๆ internet บูม อ่านทั้งเว็บบอร์ด ทั้งไทยทั้ง eng อ่านมันเข้าไป แรกติดนิสัยบอกให้คนที่มาถามผมไปอ่าน manual ด้วย แต่หลังๆ เริ่มผ่อนคลาย บางทีบอกมันไปเลย มันก็จะจบแล้วจะไปให้มันเสียเวลาอ่านทำไม แต่มักจะเจอประมาณ มาถามปัญหาเดิมๆ ซ้ำๆ เพราะ ว่ากันว่าถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง มันมักไม่ค่อยจำ (ทุกเรื่องมั๊ยนะ) ไม่รู้คนทั่วไปเค้าเป็นกันหรือเปล่า แต่ผมประเภทถ้าทำเองได้ เลือกทำเองก่อน ถ้าไม่ได้ ต้องคิดก่อนว่าทำไมถึงไม่ได้ ขาดอะไร ถ้าขาดอุปกรณ์ก็จะไปซื้อมา บางครั้งค่าอุปกรณ์มันมูลค่ามากกว่าไอ้งานที่ทำสำเร็จซะอีก เออหว่ะ แต่ว่าพี่คนนั้นเค้าคงเปลี่ยนไปแล้วเหมือนกัน ไม่นานมานี้เค้าโทรมาถามอะไรผมซักอย่างนี่แหละ เกี่ยวกับคอมพ์ ...
ในวันที่ฟ้าใส แดดส่อง
ในวันที่ฟ้าใส แดดส่อง
ฉันมองเห็นความเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นบนเส้นทางที่ฉันนั่งรถเมล์ผ่าน
ฉันเห็นผู้คนแปลกหน้า
มากกว่าคนที่ฉันคุ้นเคย
ถึงแม้จะเป็นเส้นทางเดิมๆ ที่ฉันเดินทางผ่าน
ทุกวัน ...
ฉันก็เห็นผู้คนแปลกหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเค้าไม่รู้จักฉันหรอก ฉันเองก็ไม่รู้จักเขา
ชิวิตแต่ละวันเราพบเห็นคนที่ไม่รู้จักมากมาย
และแต่ละคนก็อาจจะพบเห็นกันเพียงครั้งเดียว
ชิวิตในมหานครที่มีผู้คนมากมาย
แต่กลับมีคนที่ฉันรู้จักอยู่เพียงน้อยนิด
ที่บ้านนอกผู้คนเพียงหยิบมือ
น้อยครั้งที่ฉันจะได้มีโอกาสพบเห็นคนแปลกหน้า
อะไรมันสร้างความตื่นเต้นได้มากกว่ากันนะ
การบังเอิญพบคนรู้จักบนเส้นทางที่มีผู้คนมากมาย
กับการบังเอิญเจอคนแปลกหน้า
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เรารู้จัก
อย่างแรกคงสร้างความตื่นเต้นดีใจ
แต่ฉันขอเลือกเจออย่างหลังมากว่า
เพราะเมื่อเจอคนรู้จักเพียงคนเดียว
พอเค้าจากไป ฉันก็ไม่เหลือใครแล้ว
แต่อย่างหลัง ฉันไม่มีวันไม่มีใครแน่นอน ..
ฉันมองเห็นความเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นบนเส้นทางที่ฉันนั่งรถเมล์ผ่าน
ฉันเห็นผู้คนแปลกหน้า
มากกว่าคนที่ฉันคุ้นเคย
ถึงแม้จะเป็นเส้นทางเดิมๆ ที่ฉันเดินทางผ่าน
ทุกวัน ...
ฉันก็เห็นผู้คนแปลกหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเค้าไม่รู้จักฉันหรอก ฉันเองก็ไม่รู้จักเขา
ชิวิตแต่ละวันเราพบเห็นคนที่ไม่รู้จักมากมาย
และแต่ละคนก็อาจจะพบเห็นกันเพียงครั้งเดียว
ชิวิตในมหานครที่มีผู้คนมากมาย
แต่กลับมีคนที่ฉันรู้จักอยู่เพียงน้อยนิด
ที่บ้านนอกผู้คนเพียงหยิบมือ
น้อยครั้งที่ฉันจะได้มีโอกาสพบเห็นคนแปลกหน้า
อะไรมันสร้างความตื่นเต้นได้มากกว่ากันนะ
การบังเอิญพบคนรู้จักบนเส้นทางที่มีผู้คนมากมาย
กับการบังเอิญเจอคนแปลกหน้า
ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เรารู้จัก
อย่างแรกคงสร้างความตื่นเต้นดีใจ
แต่ฉันขอเลือกเจออย่างหลังมากว่า
เพราะเมื่อเจอคนรู้จักเพียงคนเดียว
พอเค้าจากไป ฉันก็ไม่เหลือใครแล้ว
แต่อย่างหลัง ฉันไม่มีวันไม่มีใครแน่นอน ..
Sunday, June 22, 2008
The Notebook
อิ่มเอมกับความรักที่เหนือกว่าสิ่งใดๆ ไปกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นความชอบทำ ความถูกต้อง สิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็นหรือแม้แต่สิ่งที่ใจเราเองต้องการ หนังหลายๆ เรื่องมันทำให้เรามีความศัทธาในสิ่งที่เรียกว่าความรัก เรื่องนี้เองก็เช่นเดียวกัน พระเอกพบรักกับเองนางเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงฤดูร้อน แต่ทั้งคู่เชื่อว่ามันคือความรัก และระยะเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ความเชื่อนี้ ผมไม่รู้จะบรรยายอะไร เอาเป็นว่า ความรักถึงมันจะดูเพ้อฝัน แต่ผมคนนึงหล่ะที่เชื่อว่ารักแท้ มันมีบนโลกใบนี้ จริงๆ ...
Saturday, June 21, 2008
เจ็บไม่ทรมาณเท่าอดทน
จริงเหรอวะ C ลองมาพิจารณากันในรายละเอียดดีกว่า
มันประกอบด้วยความรู้สึก 3 อย่างคือ เจ็บ ทรมาณ แล้วก็ ก็ อดทน
...เจ็บ มันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นรวดเร็วรุนแรง
...อดทน คือความความยาวนานของความเจ็บปวด ถูกต้องมั๊ย?
...ทรมาน คือ การคงอยู่ในความเจ็บปวด
ลองดู เจ็บกับทรมาน คงหมายถึง เวลาเจ็บมันจะคงอยู่ไม่นาน?
ไม่นานนี้คือความเจ็บปวดทางกายภาพ หรือทางจิตใจก็ตามแต่
ลองดู ทรมาณกับอดทน คงหมายถึงเราต้องอดทดกับสิ่งที่มันเจ็บปวด
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยาวนาน เรียกเจ็บ ซ้ำๆ ดีมั๊ย :P
สรุป: มันเป็นภาวะแปรผัน และสภาพการคงอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นอันดับแรก
คือความเจ็บปวด ไม่ว่าจะทรมานหรือต้องอดทนหรือไม่ แต่เมื่อเกิด
ความเจ็บปวดขึ้นแล้ว เราต้องพิจารณาว่า ถ้าเราอดทดกับมัน
เราจะทรมานมั๊ย บางครั้งในช่วงเวลาที่เราอดทน มันก็มีช่วงเวลา
ของความสุขแทรกขึ้นมาบ้าง เพื่อให้สภาวะของความอดทนมันคงอยู่
โดยธรรมชาติ ถ้าเจ็บแล้วจำ หนีห่างจากสภาพวะที่จะนำไปสู่ความ
เจ็บปวดนั้น เราก็จะไม่ต้องอดทน และความยาวนานของสภาวะที่เรียกว่า
ทรมานก็คงน้อยไปด้วย แต่เรื่องบางเรื่องเราก็รู้ๆ กันอยู่ใช่มั๊ย
ว่า การหนีห่างเพียงเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น มันทำไม่ได้จริงๆ
ฉะนั้น ถ้าเลือกจะอดทน อย่าคิดว่ามันทรมาณนะ สู้ต่อไป :) ....
มันประกอบด้วยความรู้สึก 3 อย่างคือ เจ็บ ทรมาณ แล้วก็ ก็ อดทน
...เจ็บ มันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นรวดเร็วรุนแรง
...อดทน คือความความยาวนานของความเจ็บปวด ถูกต้องมั๊ย?
...ทรมาน คือ การคงอยู่ในความเจ็บปวด
ลองดู เจ็บกับทรมาน คงหมายถึง เวลาเจ็บมันจะคงอยู่ไม่นาน?
ไม่นานนี้คือความเจ็บปวดทางกายภาพ หรือทางจิตใจก็ตามแต่
ลองดู ทรมาณกับอดทน คงหมายถึงเราต้องอดทดกับสิ่งที่มันเจ็บปวด
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยาวนาน เรียกเจ็บ ซ้ำๆ ดีมั๊ย :P
สรุป: มันเป็นภาวะแปรผัน และสภาพการคงอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นอันดับแรก
คือความเจ็บปวด ไม่ว่าจะทรมานหรือต้องอดทนหรือไม่ แต่เมื่อเกิด
ความเจ็บปวดขึ้นแล้ว เราต้องพิจารณาว่า ถ้าเราอดทดกับมัน
เราจะทรมานมั๊ย บางครั้งในช่วงเวลาที่เราอดทน มันก็มีช่วงเวลา
ของความสุขแทรกขึ้นมาบ้าง เพื่อให้สภาวะของความอดทนมันคงอยู่
โดยธรรมชาติ ถ้าเจ็บแล้วจำ หนีห่างจากสภาพวะที่จะนำไปสู่ความ
เจ็บปวดนั้น เราก็จะไม่ต้องอดทน และความยาวนานของสภาวะที่เรียกว่า
ทรมานก็คงน้อยไปด้วย แต่เรื่องบางเรื่องเราก็รู้ๆ กันอยู่ใช่มั๊ย
ว่า การหนีห่างเพียงเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น มันทำไม่ได้จริงๆ
ฉะนั้น ถ้าเลือกจะอดทน อย่าคิดว่ามันทรมาณนะ สู้ต่อไป :) ....
เปิดความทรงจำดีๆ ผ่านสายน้ำ
....อีกครั้งนึงนี่มีโอกาสได้ปล่อยความรู้สึกล่องลอยไปกับสายน้ำ (เวอร์ไปนิ๊ดดด แต่ก็น่าจะพอได้) เพราะวันนี้ได้มีโอกาสใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยาอีกแล้ว ผมชอบการนั่งเรือเหมือนกันแฮะแรกๆ คือมันเรื่อยๆ ดี คือแล่นไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีจังหว่ะต้องหยุดชะงัก นอกจากการจอดตามท่าเรือซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ยังไงซะก็ไม่มีติดไปแเดงแน่ๆ และโดยปกติผมไม่ค่อยมายืนเกาะขอบเรือดูวิวเท่าไหร่ด้วยแฮะ ถึงจะนั่งมาบ่อยก็เหอะ แต่วันนี้มีเหตุให้ต้องไปยืนเกาะ เพราะคนมันเต็ม พอเรือเริ่มแล่น ลมเริ่มกระทบใบหน้า สายน้ำกระซ่านเซ็น อากาศเย็นสบาย เท่านั้นแหละครับพี่น้อง ใจก็เริ่มลอย ...
....ที่ท่าสี่พระยา ครั้งนึงเคยมานั่งกินไอติมกับเพื่อน คราวนั้นทำให้รู้ว่า เห้ย ไอ้ติมซะเวนเซ่น กินกับกล้วยอะหร่อยดีแฮะ (ทำไมตูไม่เคยกินวะ) ฝั่งตรงข้ามคือคลองสาน เป็นแหล่งชอบปิ้งแบบแบกะดิน อีกที่ของคนย่านนี้
....ที่ท่าราชวงค์ เดินไปหน่อยก็จะเป็นเยาวราช ครั้งนึงเคยมีคนพาพวกเราท่องเที่ยวกินอาหารบนถนนเยาวราช กินไปหลายๆ อย่างตามที่คนนำบอกอร่อย สุดท้ายจบที่ข้าวขาหมู เค้าบอกผมว่า เห็นว่าผมชอบข้าวขาหมู เลยพามาเป็นที่ปิดท้าย คุณรู้มั๊ยครับ อาหารอย่างเดียวที่ผมไม่ได้กินในวันนั้นคือ ข้าวขาหมู เพราะผมกินไม่ลงแล้ว มันอิ่มซะเหลือเกิน เวรจริงๆ -_-"
....ท่าเรือสะพานพุทธ ก็ต้องเป็นสะพานพุทธ แหล่งชอบปิ้งในยามค่ำคืน สะพานพุทธยังคงเปิดไฟส่องสว่าง สวยเด่น เคยอยากจะสะพายกล้องมาถ่ายรูปซักที แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ทำ ..
....ท่าเตียน เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสมาที่วัดแจ้ง หรือวัดอรุณ ผ่านไปผ่านมาหลายที ชิวิตนี้ก็เคยได้มา ก็คราวนี้แหละครับ เออ ขอบอกว่า มันสูงจริงๆ ผมกลัวความสูงนะ คุณคงดูออก ถึงผมจะบอกว่าไม่กลัว ก็แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง ที่ท่านี้มีร้านอาหารแนวๆ อินดี้ เป็นอีกร้านที่พักพวกเคยแวะเวียนมานั่งชมบรรยากาศอยู่พักนึง
....ท่าวังหลัง (ศิริราช) ท่านี้ผมไม่เคยลง แต่ฝั่งตรงข้ามเป็นท่าพระจันทร์ จำได้ว่าเคยไปเดินตามหาร้านที่บุญชู เค้าชอบไปกินกัน แต่ไปซะมืดเลยไม่เจอ มีร้านหนังสือที่ได้ยินชื่อบ่อนมาก คือร้านน้อง ท่าพระจันทร์ (ร้านจริงๆ ไม่ใหญ่อยากชื่อ) แล้วก็ร้านนานอินทร์ เดินออกมาหน่อยมีที่กินเบียร์บรรยากาศแจ่มๆ คือราชนาวีสโมสร (ใกล้ท่าช้างมากกว่า) แล้วก็ร้าน ช.ปะทุมทอง ตรงข้ามวัดพระแก้ว หน้าพระลาน ..
....ท่าพระอาทิตย์ เดินทะลุออกถนนพระอาทิตย์ ต่อกับป้อมพระสุเมร เคยมานั่งแหงนคอดูดาว ในความวุ่นวาย บางครั้งแค่แหงนคอดูดาว เราก็แทบจะหลุดออกจากความวุ่นวายทั้งหมดแล้ว มีแค่คุณกับผม แล้วก็ท้องฟ้า และดวงดาว โอ้ว เวอร์อีกแล้วตรู ก่อนจะเดินละเลียดไปยังร้านกินลมชมสะพาน บรรยากาศสุดคลาสสิค ยังกะความฝันเลยหล่ะคุ๊นน ... เอ้อ เลยไปไกลแระ ตรงข้ามป้อมมีร้านมาตะบะเจ้าดั้งเดิม ตอนนั้นไม่รู้จักน้ำเสาวรส แต่คนมาด้วยเค้าบอกเค้าชอบกิน พอกินดู น้ำอะไรฟะ เปรี๊ยวชมัด ไม่เห็นมันจะอร่อยตรงไหนเลย -_-"
....ท่าเรือซั้งฮี้ (สะพานกรุงธน) ฝั่นธนจะมีร้านสองร้านคือ river bar กับ water front ครั้งแรกจะไป river bar แต่คนเต็มเลยจบที่ water front เป็นร้านอาหานที่บรรยากาศดีมากๆ ที่นึง หลังๆ มาระแวกนี้ทีไร ก็จะจบที่ water front ทุกที ความทรงจำเกียวกับร้านนี้เยอะมาก blog เดียวเอาไม่อยู่หรอก :P
....ท่าบางโพ ตรงข้ามหรือเยื้องๆ เป็น ร้าน To-sit peir 92 ร้านนี้ก็บรรยากาศดี ผมมาบ่อยอยู่ช่วงนึง หลังๆ ไม่ค่อยได้มาแล้ว เพราะเพื่อนๆ บอกว่ามันแพง แล้วก็บริการไม่ค่อยดี ตั้งแต่คนเริ่มเยอะ อะไร ๆ ก็ดูแย่ไป ถ้ามาทางถนน คือซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 ใกล้ๆ โรงบาลยังฮี ..
....ท่าเรือพระราม 7 มีร้านอาการอิสาร นั่งกินกับพื้น มีโต๊ะญี่ปุ่นให้ตัว เคยมานั่งกินกับน้องๆ ทีนึง มันถามผมว่า "พี่ ผมเลิกกับแฟน แล้วเค้ายืมตังผมไป ผมควรจะทวงคืนมั๊ยครับ" .. ท่าเรืออยู่ฝั่นธน ส่วนเชิงสะพานฝั่งพระนคร เป็นที่ชุมนุมของ นศ. คณะวิดวะ สถาบันเทคพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เค้าว่ากันว่ามีธรรมเนียมอยู่อย่าง เวลาเรียนจบต้องไปกะโดดแม่น้ำเจ้าพระยา ผมไม่ได้โดดกับเค้าหรอก คือว่ายน้ำไม่เป็นอะ ...
....หลังจากท่าพระราม 7 เรือธง จะวิ่งตรงไปยังท่าน้ำนนท์นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เรือวิ่งโดยไม่ค้องหยุดจอด ยาวนานที่สุด ในความรู้สึกของผม คงเพราะมันใกล้จะถึงที่หมาย เพราะเราไม่มีอะไรให้ต้องเหลือตกค้างในความทรงจำแล้ว หรือเวลาชิวิตจะถึงฝั่ง เราจะรู้สึกันแบบนี้นะ สองข้างทางช่วงนี้มึดมิดเป็นพิเศษ มีเสียงเรือ มีเสียงน้ำ มีแสงดาว แถมยังเป็นช่วงเวลาที่คนเหลือบนเรือน้อยที่สุดด้วย ในวันที่เราใกล้ถึงจุดหมาย คนข้างกายมันย่อมลดน้อยลงเช่นนั้นหรือ หรือชิวิตมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำไมมันดูแย่จัง ...
....ที่ท่าสี่พระยา ครั้งนึงเคยมานั่งกินไอติมกับเพื่อน คราวนั้นทำให้รู้ว่า เห้ย ไอ้ติมซะเวนเซ่น กินกับกล้วยอะหร่อยดีแฮะ (ทำไมตูไม่เคยกินวะ) ฝั่งตรงข้ามคือคลองสาน เป็นแหล่งชอบปิ้งแบบแบกะดิน อีกที่ของคนย่านนี้
....ที่ท่าราชวงค์ เดินไปหน่อยก็จะเป็นเยาวราช ครั้งนึงเคยมีคนพาพวกเราท่องเที่ยวกินอาหารบนถนนเยาวราช กินไปหลายๆ อย่างตามที่คนนำบอกอร่อย สุดท้ายจบที่ข้าวขาหมู เค้าบอกผมว่า เห็นว่าผมชอบข้าวขาหมู เลยพามาเป็นที่ปิดท้าย คุณรู้มั๊ยครับ อาหารอย่างเดียวที่ผมไม่ได้กินในวันนั้นคือ ข้าวขาหมู เพราะผมกินไม่ลงแล้ว มันอิ่มซะเหลือเกิน เวรจริงๆ -_-"
....ท่าเรือสะพานพุทธ ก็ต้องเป็นสะพานพุทธ แหล่งชอบปิ้งในยามค่ำคืน สะพานพุทธยังคงเปิดไฟส่องสว่าง สวยเด่น เคยอยากจะสะพายกล้องมาถ่ายรูปซักที แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ทำ ..
....ท่าเตียน เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสมาที่วัดแจ้ง หรือวัดอรุณ ผ่านไปผ่านมาหลายที ชิวิตนี้ก็เคยได้มา ก็คราวนี้แหละครับ เออ ขอบอกว่า มันสูงจริงๆ ผมกลัวความสูงนะ คุณคงดูออก ถึงผมจะบอกว่าไม่กลัว ก็แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง ที่ท่านี้มีร้านอาหารแนวๆ อินดี้ เป็นอีกร้านที่พักพวกเคยแวะเวียนมานั่งชมบรรยากาศอยู่พักนึง
....ท่าวังหลัง (ศิริราช) ท่านี้ผมไม่เคยลง แต่ฝั่งตรงข้ามเป็นท่าพระจันทร์ จำได้ว่าเคยไปเดินตามหาร้านที่บุญชู เค้าชอบไปกินกัน แต่ไปซะมืดเลยไม่เจอ มีร้านหนังสือที่ได้ยินชื่อบ่อนมาก คือร้านน้อง ท่าพระจันทร์ (ร้านจริงๆ ไม่ใหญ่อยากชื่อ) แล้วก็ร้านนานอินทร์ เดินออกมาหน่อยมีที่กินเบียร์บรรยากาศแจ่มๆ คือราชนาวีสโมสร (ใกล้ท่าช้างมากกว่า) แล้วก็ร้าน ช.ปะทุมทอง ตรงข้ามวัดพระแก้ว หน้าพระลาน ..
....ท่าพระอาทิตย์ เดินทะลุออกถนนพระอาทิตย์ ต่อกับป้อมพระสุเมร เคยมานั่งแหงนคอดูดาว ในความวุ่นวาย บางครั้งแค่แหงนคอดูดาว เราก็แทบจะหลุดออกจากความวุ่นวายทั้งหมดแล้ว มีแค่คุณกับผม แล้วก็ท้องฟ้า และดวงดาว โอ้ว เวอร์อีกแล้วตรู ก่อนจะเดินละเลียดไปยังร้านกินลมชมสะพาน บรรยากาศสุดคลาสสิค ยังกะความฝันเลยหล่ะคุ๊นน ... เอ้อ เลยไปไกลแระ ตรงข้ามป้อมมีร้านมาตะบะเจ้าดั้งเดิม ตอนนั้นไม่รู้จักน้ำเสาวรส แต่คนมาด้วยเค้าบอกเค้าชอบกิน พอกินดู น้ำอะไรฟะ เปรี๊ยวชมัด ไม่เห็นมันจะอร่อยตรงไหนเลย -_-"
....ท่าเรือซั้งฮี้ (สะพานกรุงธน) ฝั่นธนจะมีร้านสองร้านคือ river bar กับ water front ครั้งแรกจะไป river bar แต่คนเต็มเลยจบที่ water front เป็นร้านอาหานที่บรรยากาศดีมากๆ ที่นึง หลังๆ มาระแวกนี้ทีไร ก็จะจบที่ water front ทุกที ความทรงจำเกียวกับร้านนี้เยอะมาก blog เดียวเอาไม่อยู่หรอก :P
....ท่าบางโพ ตรงข้ามหรือเยื้องๆ เป็น ร้าน To-sit peir 92 ร้านนี้ก็บรรยากาศดี ผมมาบ่อยอยู่ช่วงนึง หลังๆ ไม่ค่อยได้มาแล้ว เพราะเพื่อนๆ บอกว่ามันแพง แล้วก็บริการไม่ค่อยดี ตั้งแต่คนเริ่มเยอะ อะไร ๆ ก็ดูแย่ไป ถ้ามาทางถนน คือซอยจรัญสนิทวงศ์ 92 ใกล้ๆ โรงบาลยังฮี ..
....ท่าเรือพระราม 7 มีร้านอาการอิสาร นั่งกินกับพื้น มีโต๊ะญี่ปุ่นให้ตัว เคยมานั่งกินกับน้องๆ ทีนึง มันถามผมว่า "พี่ ผมเลิกกับแฟน แล้วเค้ายืมตังผมไป ผมควรจะทวงคืนมั๊ยครับ" .. ท่าเรืออยู่ฝั่นธน ส่วนเชิงสะพานฝั่งพระนคร เป็นที่ชุมนุมของ นศ. คณะวิดวะ สถาบันเทคพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เค้าว่ากันว่ามีธรรมเนียมอยู่อย่าง เวลาเรียนจบต้องไปกะโดดแม่น้ำเจ้าพระยา ผมไม่ได้โดดกับเค้าหรอก คือว่ายน้ำไม่เป็นอะ ...
....หลังจากท่าพระราม 7 เรือธง จะวิ่งตรงไปยังท่าน้ำนนท์นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เรือวิ่งโดยไม่ค้องหยุดจอด ยาวนานที่สุด ในความรู้สึกของผม คงเพราะมันใกล้จะถึงที่หมาย เพราะเราไม่มีอะไรให้ต้องเหลือตกค้างในความทรงจำแล้ว หรือเวลาชิวิตจะถึงฝั่ง เราจะรู้สึกันแบบนี้นะ สองข้างทางช่วงนี้มึดมิดเป็นพิเศษ มีเสียงเรือ มีเสียงน้ำ มีแสงดาว แถมยังเป็นช่วงเวลาที่คนเหลือบนเรือน้อยที่สุดด้วย ในวันที่เราใกล้ถึงจุดหมาย คนข้างกายมันย่อมลดน้อยลงเช่นนั้นหรือ หรือชิวิตมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำไมมันดูแย่จัง ...
Wednesday, June 18, 2008
ไม่มีความหมาย อย่างนั้นเหรอ?
คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมายมั๊ย?
คุณเคยสงสัยมั๊ยทำไมคุณรู้สึกอย่างนั้น
เพราะคุณทำอะไรสักอย่างแล้วคาดหวังกับมัน
หรือคาดหวังว่าคนที่คุณทำอะไรให้เค้าจะตอบแทน
กลับมาด้วยสิ่งที่คุณต้องการใช่มั๊ย?
ไม่เอาน่า มันเป็นธรรมชาติของคนที่จะรู้สึกอย่างนั้น
คุณเคยลองพิจารณาสิ่งที่คุณทำมั๊ย
ว่าคุณมีความสุขตอนที่ได้ทำ หรือมีความสุขตอนที่ได้รับผลของการกระทำนั้น?
คุณเชื่อมั๊ยถ้ามีคนบอกคุณว่า เค้าทำอะไรโดยที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน
คุณว่ามันมีจริงมั๊ย?
เพราะคุณฝืน? เพราะคุณต้องการเอาชนะ?
หรือเปล่านะ ที่ทำให้ต้องคอยหาความหมายจากผลของการกระทำ
คนอ้วนที่พยายามลดน้ำหนักแล้วผลสุดท้ายน้ำหนักไม่ได้ลดลงตามคาด
คนที่ขยันทำงานมาตรงเวลากลับทีหลังเพื่อนแต่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง
คนที่พยายามทำตัวให้โดดเด่น แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้นำ
คนที่พยายามหาเงินแต่กลับต้องเอาไปให้คนอื่นใช้
คนที่พยายามโทรหาเพื่อนในวันเกิดเค้า แต่วันเกิดตัวเองกลับไม่มีคนแสดงความยินดี
ความพยายามเหล่านี้ ไม่ใช่ความหมายหรอกหรือ?
คุณลืมอะไรไปมั๊ย
ความหมายมันมีอยู่ตั้งแต่ตอนที่คุณทำมันแล้ว
ลองทำมันด้วยความสนุก อยากจะทำ และเต็มที่กับมัน
นั่นแหละมั๊งความหมาย บทสรุปมันคงเป็นกำไร
ถ้าไม่ได้กำไร คุณก็คงไม่ขาดทุนหรอกมั๊ง หรือเปล่านะ?
ทำไมใครๆ ก็ถามหาแต่ความหมาย เพื่ออะไรกันนะ
ทำมันทำไมนะ ถ้ามันไม่เคยมีความหมายอะไรเลย ..?
คุณเคยสงสัยมั๊ยทำไมคุณรู้สึกอย่างนั้น
เพราะคุณทำอะไรสักอย่างแล้วคาดหวังกับมัน
หรือคาดหวังว่าคนที่คุณทำอะไรให้เค้าจะตอบแทน
กลับมาด้วยสิ่งที่คุณต้องการใช่มั๊ย?
ไม่เอาน่า มันเป็นธรรมชาติของคนที่จะรู้สึกอย่างนั้น
คุณเคยลองพิจารณาสิ่งที่คุณทำมั๊ย
ว่าคุณมีความสุขตอนที่ได้ทำ หรือมีความสุขตอนที่ได้รับผลของการกระทำนั้น?
คุณเชื่อมั๊ยถ้ามีคนบอกคุณว่า เค้าทำอะไรโดยที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน
คุณว่ามันมีจริงมั๊ย?
เพราะคุณฝืน? เพราะคุณต้องการเอาชนะ?
หรือเปล่านะ ที่ทำให้ต้องคอยหาความหมายจากผลของการกระทำ
คนอ้วนที่พยายามลดน้ำหนักแล้วผลสุดท้ายน้ำหนักไม่ได้ลดลงตามคาด
คนที่ขยันทำงานมาตรงเวลากลับทีหลังเพื่อนแต่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง
คนที่พยายามทำตัวให้โดดเด่น แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้นำ
คนที่พยายามหาเงินแต่กลับต้องเอาไปให้คนอื่นใช้
คนที่พยายามโทรหาเพื่อนในวันเกิดเค้า แต่วันเกิดตัวเองกลับไม่มีคนแสดงความยินดี
ความพยายามเหล่านี้ ไม่ใช่ความหมายหรอกหรือ?
คุณลืมอะไรไปมั๊ย
ความหมายมันมีอยู่ตั้งแต่ตอนที่คุณทำมันแล้ว
ลองทำมันด้วยความสนุก อยากจะทำ และเต็มที่กับมัน
นั่นแหละมั๊งความหมาย บทสรุปมันคงเป็นกำไร
ถ้าไม่ได้กำไร คุณก็คงไม่ขาดทุนหรอกมั๊ง หรือเปล่านะ?
ทำไมใครๆ ก็ถามหาแต่ความหมาย เพื่ออะไรกันนะ
ทำมันทำไมนะ ถ้ามันไม่เคยมีความหมายอะไรเลย ..?
Thursday, June 12, 2008
เพลงประจำ "ที่เรียน"
msn เป็นไรหว่า online ไม่ค่อยได้เลยแฮะ หรือ account ข้าพเจ้ามันต๊อง -_-"...
ช่างมัน... วันนี้นั่งรถเมล์ผ่านหน้าสถาบันอันเป็นที่รัก อยู่ดีๆ เพลงประจำถาบัน
ก็ก้องเข้ามาในหัว (ปัจจุบันเค้าเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยแล้วครับ)
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
ถิ่นของเราเลิศหรูพริ้งเพรา
มิเคยอับเฉา ถิ่นเราวิลัย
เด่นเหนือใครแมันนามนั้นไซร้ พระราชทาน ..
พาลไปนึกถึงเพลงประจำคณะ
พวกเราน้องพี่ ภาคภูมิฤดีรักกันที่สีเดียว
พี่ปองน้องเกี่ยว เราสีเลือดเดียวเกี่ยวใจสัมพันธ์
...
ย้อนกลับไปหน่อย เพลงสมัยเรียน ปวช, (อันนี้ก็เปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยแล้วเหมือนกันแฮะ)
สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล มิ่งพระภูวดล พระราชทานสมญานามให้
สีน้ำเงินเด่นงามอร่ามกลางใจ เกียรติคุณสม
นามยิ่งใหญ่ล่ำเลอค่าจะเทิดทูนบูชาไว้นิรันดร์
นานกว่านั้นคือตอนมัธยม
...
ม่วงขาว คือสัญลักษณ์และนาม
ม่วงงดงามคือความสามัคคี
ขาวบริสุจน์ดุจน้ำฟ้าไร้ราคี
...
จะว่าไปตอนเรียนประถมก็มีเพลงประจำโรงเรียนแฮะ
น้ำเงินขาวชาววัดจันทร์ประสิทธิ์
เราพร้อมจิต ในรักสมัครสมาน
สู้ขยัน มานะ ในการงาน
เพื่อนสนองคุณชาติ ศาส กษัตร์ไทย
..
เริ่มแก่ เรื่องเก่าๆ ชอบแว๊บ เข้ามา -_-"
ช่างมัน... วันนี้นั่งรถเมล์ผ่านหน้าสถาบันอันเป็นที่รัก อยู่ดีๆ เพลงประจำถาบัน
ก็ก้องเข้ามาในหัว (ปัจจุบันเค้าเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยแล้วครับ)
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
ถิ่นของเราเลิศหรูพริ้งเพรา
มิเคยอับเฉา ถิ่นเราวิลัย
เด่นเหนือใครแมันนามนั้นไซร้ พระราชทาน ..
พาลไปนึกถึงเพลงประจำคณะ
พวกเราน้องพี่ ภาคภูมิฤดีรักกันที่สีเดียว
พี่ปองน้องเกี่ยว เราสีเลือดเดียวเกี่ยวใจสัมพันธ์
...
ย้อนกลับไปหน่อย เพลงสมัยเรียน ปวช, (อันนี้ก็เปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยแล้วเหมือนกันแฮะ)
สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล มิ่งพระภูวดล พระราชทานสมญานามให้
สีน้ำเงินเด่นงามอร่ามกลางใจ เกียรติคุณสม
นามยิ่งใหญ่ล่ำเลอค่าจะเทิดทูนบูชาไว้นิรันดร์
นานกว่านั้นคือตอนมัธยม
...
ม่วงขาว คือสัญลักษณ์และนาม
ม่วงงดงามคือความสามัคคี
ขาวบริสุจน์ดุจน้ำฟ้าไร้ราคี
...
จะว่าไปตอนเรียนประถมก็มีเพลงประจำโรงเรียนแฮะ
น้ำเงินขาวชาววัดจันทร์ประสิทธิ์
เราพร้อมจิต ในรักสมัครสมาน
สู้ขยัน มานะ ในการงาน
เพื่อนสนองคุณชาติ ศาส กษัตร์ไทย
..
เริ่มแก่ เรื่องเก่าๆ ชอบแว๊บ เข้ามา -_-"
Wednesday, June 11, 2008
เบื่อความเป็นไปของชิวิตทุกวันนี้จังเลยแฮะ
ไม่ได้พึ่งเป็น แต่เป็นมาพักใหญ่แล้ว
ไม่ได้คิดว่าต้องหาเงิน หรือยากรวย
แต่คิดว่าที่เป็นอยู่เหมือนไม่มีชิวิต
ทำงานเพื่ออะไรถ้าไร้ซึ่งชิวิต
คิดอย่างนี้ทีไร ก็มักจะมีคำถามกลับมา
แล้วชิวิตที่มึงคิดว่าควรจะเป็นมันเป็นยังๆไง วะ
ทุกครั้งก็ตอบว่า กูไม่รู้หว่ะ รู้แต่ว่าแบบนี้มันไม่ใช่
อยากจะนิยาม อยากจะค้นหา อยากจะให้ความหมายมันเหมือนกัน
มันอาจจะเพราะอยู่กับสิ่งที่มันรู้สึกไม่จริง
งานที่เป็น virtual ไม่ได้ออกมาเป็นสิ่งที่มองเห็น
ครั้งนึงถึงกับอยากจะไปเรียนสานตะกร้า แล้วไปนั่งสานตะกร้าขาย
อยากจะเปิดร้านกาแฟ อยากจะเปิดร้านหนังสือเล็กๆ
อยากทำอย่างอื่น ที่มันเกี่ยวข้อกับชิวิตจริงๆ
ไม่ใช่งานแบบนี้ที่วันๆ อ่านแต่ email
คุยงานผ่านหน้าต่างสี่เหลี่ยม
ฝันถึงผู้คนผ่านทางเจ้าหัวกลมๆ เหลืองๆ
ผมเป็นโรคจิตไหม ที่ชอบมองเข้าไปในตาของคนที่คุยด้วย
คิดถึงประกายนั้น นั่นแหละมั๊งประกายของชิวิต
ลึกล้ำ สดใส เป็นประกาย และสะท้อนสิ่งต่างๆ มากมาย
อาจจะดูเวอร์ แต่มันมองไปถึงประกายของดวงดาว จักรวาล
รำพึ่งรำพันไปงั้นแหละ พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานให้ทัน 9 โมงอยู่ดี
เวลาของชิวิต ก็น้อยลงทุกที คงต้องตัดสินใจ ทำอะไรสักอย่าง แล้วมั๊งเรา ....
ไม่ได้คิดว่าต้องหาเงิน หรือยากรวย
แต่คิดว่าที่เป็นอยู่เหมือนไม่มีชิวิต
ทำงานเพื่ออะไรถ้าไร้ซึ่งชิวิต
คิดอย่างนี้ทีไร ก็มักจะมีคำถามกลับมา
แล้วชิวิตที่มึงคิดว่าควรจะเป็นมันเป็นยังๆไง วะ
ทุกครั้งก็ตอบว่า กูไม่รู้หว่ะ รู้แต่ว่าแบบนี้มันไม่ใช่
อยากจะนิยาม อยากจะค้นหา อยากจะให้ความหมายมันเหมือนกัน
มันอาจจะเพราะอยู่กับสิ่งที่มันรู้สึกไม่จริง
งานที่เป็น virtual ไม่ได้ออกมาเป็นสิ่งที่มองเห็น
ครั้งนึงถึงกับอยากจะไปเรียนสานตะกร้า แล้วไปนั่งสานตะกร้าขาย
อยากจะเปิดร้านกาแฟ อยากจะเปิดร้านหนังสือเล็กๆ
อยากทำอย่างอื่น ที่มันเกี่ยวข้อกับชิวิตจริงๆ
ไม่ใช่งานแบบนี้ที่วันๆ อ่านแต่ email
คุยงานผ่านหน้าต่างสี่เหลี่ยม
ฝันถึงผู้คนผ่านทางเจ้าหัวกลมๆ เหลืองๆ
ผมเป็นโรคจิตไหม ที่ชอบมองเข้าไปในตาของคนที่คุยด้วย
คิดถึงประกายนั้น นั่นแหละมั๊งประกายของชิวิต
ลึกล้ำ สดใส เป็นประกาย และสะท้อนสิ่งต่างๆ มากมาย
อาจจะดูเวอร์ แต่มันมองไปถึงประกายของดวงดาว จักรวาล
รำพึ่งรำพันไปงั้นแหละ พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานให้ทัน 9 โมงอยู่ดี
เวลาของชิวิต ก็น้อยลงทุกที คงต้องตัดสินใจ ทำอะไรสักอย่าง แล้วมั๊งเรา ....
Sunday, June 08, 2008
Tokyo Tower - Mom & Me, and sometimes Dad
มันอาจจะเป็นความบังเอิญที่ผมหยิบหนังแผ่นนี้มาดู ในช่วงเวลานี้...
ธรรมดาผมไม่ค่อยชอบดูหนังญี่ปุ่น หรือเกาหลี เพราะหนังส่วนใหญ่มันมักจะให้อารมณ์หดหู่เศร้าหมอง บทพูดที่ช้าเนิบนาบ หมดไปกับการทิ้งเวลา ก่อนที่จะมีคำพูดแต่ละคำ ทั้งเพลงประกอบที่สุดแสนจะเศร้าเหงา ผมเปิดดูไปสักพักโดยที่ไม่มี bias ข้อมูลใดๆ รู้อย่างเดียวว่าเป็นหนังที่ได้รับรางวัลมาเยอะ หลังจากดูไปสักพัก ก็หาข้อมูลปูพื้นหน่อย สนใจก็ ตาม link เลยครับ หนังบอกเล่าอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นชิวิตผ่านเปลี่ยนของของตัวละครเอก ซึ่งอาจจะไปโดนเข้ากับหลายๆ คน โดยเฉพาะลูกที่ต้องจากบ้านมาร่ำเรียนในเมืองหลวง ความสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก เพื่อน หรือแม้แต่คนรัก ที่ผ่านเข้ามาในชิวิตของตัวละครเอก แต่ก็ไม่เจาะลึกอะไรมากมายไปกว่า เรื่องของแม่และลูกชาย การต่อสู้กับความตาย ความเศร้าหมอง กำลังใจ และเรื่องธรรมดามากๆ ในชิวิตคนเรา ด้วยความธรรมดานี้กระมังที่ทำให้เกิดความพิเศษ "ช่วงเวลาของความสุขมันมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงบทเพลงแห่งความสุขที่เลือนลาง เหมือนระคังที่กลิ้งลงจากเขา" การตายมันอาจจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน ก่อนตายต่างหากคุณได้ทำอะไรที่อยากทำ ดูแลคนที่คุณอยากจะดูแล แล้วหรือยัง เมื่อคุณใกล้ตาย ปริมาณคนรอบข้างนั่นแหละจะบอกว่าชิวิตคุณมีค่าแค่ไหน ....
เคยถามตัวเองไหมว่า ...ระหว่างความฝัน กับคนที่รักเรา ... อะไรมีค่ามากกว่ากัน? - Tokyo Tower
ธรรมดาผมไม่ค่อยชอบดูหนังญี่ปุ่น หรือเกาหลี เพราะหนังส่วนใหญ่มันมักจะให้อารมณ์หดหู่เศร้าหมอง บทพูดที่ช้าเนิบนาบ หมดไปกับการทิ้งเวลา ก่อนที่จะมีคำพูดแต่ละคำ ทั้งเพลงประกอบที่สุดแสนจะเศร้าเหงา ผมเปิดดูไปสักพักโดยที่ไม่มี bias ข้อมูลใดๆ รู้อย่างเดียวว่าเป็นหนังที่ได้รับรางวัลมาเยอะ หลังจากดูไปสักพัก ก็หาข้อมูลปูพื้นหน่อย สนใจก็ ตาม link เลยครับ หนังบอกเล่าอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นชิวิตผ่านเปลี่ยนของของตัวละครเอก ซึ่งอาจจะไปโดนเข้ากับหลายๆ คน โดยเฉพาะลูกที่ต้องจากบ้านมาร่ำเรียนในเมืองหลวง ความสัมพันธ์ระหว่างแม่-ลูก เพื่อน หรือแม้แต่คนรัก ที่ผ่านเข้ามาในชิวิตของตัวละครเอก แต่ก็ไม่เจาะลึกอะไรมากมายไปกว่า เรื่องของแม่และลูกชาย การต่อสู้กับความตาย ความเศร้าหมอง กำลังใจ และเรื่องธรรมดามากๆ ในชิวิตคนเรา ด้วยความธรรมดานี้กระมังที่ทำให้เกิดความพิเศษ "ช่วงเวลาของความสุขมันมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงบทเพลงแห่งความสุขที่เลือนลาง เหมือนระคังที่กลิ้งลงจากเขา" การตายมันอาจจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน ก่อนตายต่างหากคุณได้ทำอะไรที่อยากทำ ดูแลคนที่คุณอยากจะดูแล แล้วหรือยัง เมื่อคุณใกล้ตาย ปริมาณคนรอบข้างนั่นแหละจะบอกว่าชิวิตคุณมีค่าแค่ไหน ....
เคยถามตัวเองไหมว่า ...ระหว่างความฝัน กับคนที่รักเรา ... อะไรมีค่ามากกว่ากัน? - Tokyo Tower
Saturday, June 07, 2008
อยู่ดีๆ ก็คิดถึง แม่
ครั้งนึงสมัยเข้าเรียน ม 1 มันมีวันนึงในหนึ่งสัปดาร์ที่เราจะมีโอกาสได้ใส่ชุดกีฬาไปโรงเรียน ใกล้เปิดเทอมแล้ว ผมยังหากางเกงวอร์มของโรงเรียนไม่ได้ กางเกงสีน้ำเงินเข้มมีแถบม่วงขาว ซึ่งเป็นสีประจำโรงเรียน เป็นเรื่องกลุ้มใจของเด็กอย่างผมมาก ร้านขายอุปกรณ์กีฬาไหนๆ ก็ยังไม่มีของมา ของคงขาดตลาด แต่แม่ก็ยังหากางวอร์มสีดำมาให้ผมใส่ไปก่อน ผมจำได้ว่าตอนที่แม่ยื่นกางเกงให้ผม ผมโกรธแม่มาก เพราะสีดำมันไม่ใช่อย่างที่ผมต้องการ ทั้งๆ ที่แม่บอกว่าแม่ถามอาจารย์มาแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เชื่อแม่ ยังดื้อดึงจะให้แม่เอาไปเปลี่ยนให้ผมให้ได้ แต่ร้านมันก็ไม่มี จำได้ว่าวันนั้นผมไม่ยอมใส่กางเกงตัวนั้นไป เพราะกลัวจะไม่เหมือนเพื่อนๆ แม่ครับ ผมไม่ได้บอกแม่ใช่ไหมครับ ว่าวันนั้นมีผมใส่ชุดนักเรียนไปกับเพื่อนอีกไม่กี่คน ส่วนใหญ่เค้าก็ใส่กางเกงวอร์มาสีดำอย่างที่แม่ซื้อมานั่นแหละ มีไม่กี่คนหรอกที่หากางเกงวอร์มแบบที่เป็นของโรงเรียนมาได้ แต่พอตอนกลับสิ่งที่เห็นคือแม่เอาไปเปลี่ยนเป็นกางเกงแบบของโรงเรียนให้แล้ว ผมรู้นะว่าแม่ซี้กับร้านขายเครื่องกีฬา ไม่สิ แม่ซี้กับคนทั้งตลาด มันทำให้ผมได้รับความเอ็นดูจากแทบทุกคน ตอนนั้นผมสงสัยว่าทำไมแม่เป็นคนยอมคนอื่นขนาดนั้น แม่ดีกับทุกๆ คน ทำให้ทุกๆ คน ดีกับแม่ แล้วเค้าก๊ดีกับผมไปด้วย แม่ครับ ไอ้เด็กลูกแม่ค้าขายผักคนนั้นมันโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะครับ มันลดความเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ไปได้บ้างแล้ว มันโตขึ้นมาก และผ่านเรื่องอะไรๆ มาเยอะ แต่วันนี้ไม่รู้เป็นไรครับ อยู่ดีๆ เรื่องๆ นี้มันก็สะกิดใจผมขึ้นมา ผมเคยบอกแม่ว่าผมรักแม่หรือเปล่านะ ผมน่าจะบอกแม่นะ การที่แม่หายไปจากชิวิตผมในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ มันกลายเป็นโอกาสที่ทำให้ผมต้องทำอะไรด้วยตัวเองหลายๆ อย่าง ผมดูแลตัวเองได้มาตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรีแล้วครับ ผมไม่ค่อยพูดถึงเรื่องแม่ของผมให้ใครฟังเท่าไหร่ เพราะผมนึกถึงแม่ทีไร ผมก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ แม่อาจจะมองว่าผมขี้แยเป็นเด็กๆ แต่ตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยร้องไห้นะแม่ ผมเป็นพวกดื้อเงียบ แม่ครับ ไอ้เด็กดื้อเงียบคนนั้นจริงๆ ในใจมันอ่อนไหวเอาการเลยแหละ ผมเขียนถึงคนอื่นมากมาย วันนี้ผมอยากเขียนถึงแม่ของผมบ้าง แม่อย่าว่าผมนะ ไม่รู้เป็นไร อยู่ดีๆ แม่ก็แว๊บเข้ามาในใจผม แล้วผมก็ขี้แยอีกแล้ว แต่จริงๆ ผมสบายดีครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกชายคนนี้เอาตัวรอดได้ แน่นอน ...
Friday, June 06, 2008
ชิวิตเกิดการเรียนรู้ได้เสมอ
ชิวิตเกิดการเรียนรู้ได้เสมอ ไม่ว่าจะหลับฝันหรือลืมตาตื่น ไม่ว่าจะอยู่ในโลกแห่งความจริงหรือความฝัน ฉันได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง อย่างเช่น
- ความฝันเป็นสิ่งสวยงามเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ฉะนั้นอย่าลืมว่า เราฝันกันได้
- ความเป็นจริงอาจจะไม่เหมือนความฝัน และส่วนใหญ่มันจะแตกต่างเสียด้วย ดังนั้นเวลาที่ฝัน ต้องเผื่อความผิดหวังไว้บ้าง
- ความแตกต่างจะเกิดขึ้นทันที ที่มีการเปรียบเทียบ
- ใจคนอื่นเราไม่มีทางรู้ได้ ถึงแม้ปากจะบอกว่าเข้าใจ แต่มันเป็นเพียงเข้าใจในมุมมองของเรา ซึ่งอาจจะไม่ถูก หรือไม่ใกล้เคียงกับที่เค้าคิดก็ได้
- อะไรก็ตามถ้าเราไม่ลงมือทำเสียแต่ตอนนี้ อย่าไปหวังว่าวันรุ่งขึ้นมันจะสำเร็จของมันเอง
- ปา-ติ-หาน ไม่เคยมีบนโลกใบนี้
- ไม่มีงานที่ไหนที่ทำไปนานๆ แล้วไม่เบื่อ
- ไม่มีใครไม่มีความทุกข์
- ความสุขบางครั้งก็ไม่ได้ห่างไกล ไม่ได้หลบซ่อน เพียงแต่เรามองเห็นมันหรือเปล่า
- หนังสือ/หนัง/เพลง อินกับมันซะบ้าง ถีงมันจะประโลมโลก มันก็เป็นเครื่องมือในการสร้างฝันที่ดี
- ทุกครั้งที่เราหายใจ เราแก่ลง
- ยิ้มซะบ้าง แม้จะมีผลต่อความเหี่ยวย่นบนใบหน้า แต่มันก็ทำให้จิตใจแจ่มใส
- มีอะไรจะบอกใคร ก็บอกเค้าไปเถอะ พรุ่งนี้มันอาจจะไม่มีเราหรือเค้าแล้วก็ได้
- ความผิดหวังไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ความกลัวต่างหาก ที่เราต้องขจัดมันทิ้ง
- เวลานอนไม่หลับก็ไม่ต้องฝืน ถ้ามันนอนไม่กลับ นอนยังไงมันก็ไม่หลับ -_-"
- เมื่อไหร่ที่ทำงานแล้วรู้สึกว่าไม่มีความสุข งานแบบนั้นเราทำมันไม่ได้นานแน่
- อยากรู้อะไรก็ถาม ถึงไม่มีคำตอบ แต่เค้าก็รู้แหละ ว่าเราอยากรู้ วันนึงเค้าก็คงบอกเราเอง
- วันนึงมี 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน
- เวลาฝันไม่ต้องรีบตื่น ใช้เวลากับมันให้เต็มที่
- เวลาตื่นไม่ต้องเก็บไอ้ที่ฝันมาคิดหาคำตอบ ก็รู้อยู่แล้วหนิ ว่ามันคือความฝัน
- เวลาง่วงก็ไปนอนได้แล้ว มานั่งพิมพ์อะไรอยู่ได้ ไปนอนไป...
- ความฝันเป็นสิ่งสวยงามเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ฉะนั้นอย่าลืมว่า เราฝันกันได้
- ความเป็นจริงอาจจะไม่เหมือนความฝัน และส่วนใหญ่มันจะแตกต่างเสียด้วย ดังนั้นเวลาที่ฝัน ต้องเผื่อความผิดหวังไว้บ้าง
- ความแตกต่างจะเกิดขึ้นทันที ที่มีการเปรียบเทียบ
- ใจคนอื่นเราไม่มีทางรู้ได้ ถึงแม้ปากจะบอกว่าเข้าใจ แต่มันเป็นเพียงเข้าใจในมุมมองของเรา ซึ่งอาจจะไม่ถูก หรือไม่ใกล้เคียงกับที่เค้าคิดก็ได้
- อะไรก็ตามถ้าเราไม่ลงมือทำเสียแต่ตอนนี้ อย่าไปหวังว่าวันรุ่งขึ้นมันจะสำเร็จของมันเอง
- ปา-ติ-หาน ไม่เคยมีบนโลกใบนี้
- ไม่มีงานที่ไหนที่ทำไปนานๆ แล้วไม่เบื่อ
- ไม่มีใครไม่มีความทุกข์
- ความสุขบางครั้งก็ไม่ได้ห่างไกล ไม่ได้หลบซ่อน เพียงแต่เรามองเห็นมันหรือเปล่า
- หนังสือ/หนัง/เพลง อินกับมันซะบ้าง ถีงมันจะประโลมโลก มันก็เป็นเครื่องมือในการสร้างฝันที่ดี
- ทุกครั้งที่เราหายใจ เราแก่ลง
- ยิ้มซะบ้าง แม้จะมีผลต่อความเหี่ยวย่นบนใบหน้า แต่มันก็ทำให้จิตใจแจ่มใส
- มีอะไรจะบอกใคร ก็บอกเค้าไปเถอะ พรุ่งนี้มันอาจจะไม่มีเราหรือเค้าแล้วก็ได้
- ความผิดหวังไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ความกลัวต่างหาก ที่เราต้องขจัดมันทิ้ง
- เวลานอนไม่หลับก็ไม่ต้องฝืน ถ้ามันนอนไม่กลับ นอนยังไงมันก็ไม่หลับ -_-"
- เมื่อไหร่ที่ทำงานแล้วรู้สึกว่าไม่มีความสุข งานแบบนั้นเราทำมันไม่ได้นานแน่
- อยากรู้อะไรก็ถาม ถึงไม่มีคำตอบ แต่เค้าก็รู้แหละ ว่าเราอยากรู้ วันนึงเค้าก็คงบอกเราเอง
- วันนึงมี 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน
- เวลาฝันไม่ต้องรีบตื่น ใช้เวลากับมันให้เต็มที่
- เวลาตื่นไม่ต้องเก็บไอ้ที่ฝันมาคิดหาคำตอบ ก็รู้อยู่แล้วหนิ ว่ามันคือความฝัน
- เวลาง่วงก็ไปนอนได้แล้ว มานั่งพิมพ์อะไรอยู่ได้ ไปนอนไป...
Sunday, June 01, 2008
[ส่วนตัวถึงคนๆ เดียว] ขอชี้แจงหน่อยนะ
เออ คือว่าเป็นข้อความส่วนตัวส่งถึงใครคนนึงหน่ะครับ คือผมก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะได้อ่านมันหรือเปล่านะ ถ้าคุณใครคนไหนได้โผล่มาอ่าน blog ของผมแล้วคิดว่าข้อความนี้ไม่ใช่ของคุณก็ข้ามๆ ไปเถอะครับ ถึงมันจะเป็น public แต่ผมก็ไม่ได้แจ้งให้ใครทราบหรอกว่าผมเขียน blogไว้กับเค้าเหมือนกัน พอดีเคยส่ง mail ไปแล้วเธอได้อ่านช้ามาก วันนึงเธออาจจะผ่านมาเจอข้อความนี้ ผมฝากถึงคุณนะ ว่าเรื่องที่ผมไปชอบคุณหน่ะ ผมไม่ได้ไปบอกใครว่าผมชอบใคร ถ้ามีใครไปถามคุณว่าคนที่ผมชอบคือคุณหรือเปล่า อันนี้แล้วแต่คุณจะตอบนะ เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่ออาทิตย์ก่อนมีน้องคนนึงส่งรูปมาให้ แล้วถามผมว่าแบบนี้ผมสนใจหรือเปล่า ผมบอกเธอไปว่า ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว เธอเลยพยามเดาว่าผมชอบใคร แล้วเธอก็เดาว่าเป็นคุณ แล้วถามผมว่าใช่หรือเปล่า ผมไม่ได้ตอบเธอไปหรอกนะ เพียงแต่ถามถึงเหตุผลของการเดา แล้วก็ให้ข้อมูลว่ามันเป็นไปได้เยอะแยะว่าจะเป็นใครก็ได้ จนเธอเปลี่ยนความเป็นไปได้จากคุณไป แต่เธอก็พยายามจะไปสอบถามจากคนอื่นๆ ผมเลยบอกเธอไปว่า รู้ไหมว่าเรื่องบางเรื่อง ถ้าเพื่อนคนนึงเค้าคุยกับเราไม่ได้หมายความว่าเราต้องเอาไปคุยกับคนอื่นต่อ ถึงแม้เค้าจะไม่ได้บอกว่าอย่าไปบอกใครนะ แต่ด้วยธรรมชาติของผม เรื่องบางเรื่องมันเรื่องของคนสองคน คือระหว่างเรากับคนที่เราคุยด้วย เราไม่ควรจะไปบอกเล่าต่อ เธอเหมือนจะรู้สึกผิดแล้วมันก็เงียบไป จนวันนี้เธอมาบอกผมว่าเธอไปถามคุณ ผมกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิดว่าผมเที่ยวไปบอกคนโน้นคนนี้ว่าผมชอบคุณ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะ ถึงเรื่องผมชอบคุณมันจะเป็นเรื่องจริง แต่ผมก็ไม่สมควรเอาไปบอกใครต่อใครว่าผมชอบใคร เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับคุณ ไม่จำเป็นต้องมีใครมาช่วยสำหรับเรื่องแบบนี้ (ในความคิดผมนะ) ถ้ามันจะดีจะแย่ ก็ให้เป็นความทรงจำของผมและคุณ เพราะเรื่องบางเรื่องเหตุผลบางอย่างเราเท่านั้นที่จะรู้ ยิ่งเรื่องแบบนี้ คำตอบสำหรับแต่ละคนมันไม่เหมือนกันด้วย ถึงแม้คนถูกถามจะเป็นคนๆ เดียวกันก็เถอะ และคำตอบมันก็ควรต้องออกมาจากคนถูกถาม โดยไม่ได้มีการชี้นำจากคนรอบข้างแต่อย่างใด ชิวิตคุณทางเลือกของคุณ คุณคงต้องเลือกเอง และแน่นอนผมยังยืนยันเหมือนเดิมว่า ไม่ต้องสนใจว่าผมจะรู้สึกยังไง จงเลือกอย่างที่คุณต้องการ และดีสำหรับคุณ โดยความคิดของคุณ อย่าทำร้ายใครหรือกระทั่งตัวเองเพียงเพราะความสงสาร คุณต้องเชื่อมั่นทั้งตัวคุณเองและบุคคลอื่น ซึ่งความจริงคือสิ่งที่เราต้องยอมรับกันทุกคนอยู่แล้ว ^_^
ปล. พอมาถึงตรงนี้ชักสงสัยว่าตูคิดมากไปหรือเปล่าวะ แต่ไม่เป็นไร คิดยังไง รู้สึกยังไง ผมก็ขอบอกคุณละกัน เพราะในความคิดผมมันดูค่อนข้างละเอียดอ่อน
ปล. พอมาถึงตรงนี้ชักสงสัยว่าตูคิดมากไปหรือเปล่าวะ แต่ไม่เป็นไร คิดยังไง รู้สึกยังไง ผมก็ขอบอกคุณละกัน เพราะในความคิดผมมันดูค่อนข้างละเอียดอ่อน
Subscribe to:
Posts (Atom)