Tuesday, July 29, 2008
เรื่องเศร้าๆ มันมีกันทุกคนจริงๆ
คนเราบนใบหน้าเปื่อนยิ้มแค่ไหน ทำให้คนอื่นมีความสุขอย่างไร ในลึกๆ มันก็ยังต้องเคยผ่านความเศร้า ที่ไม่มีวันลืม กันทุกคนจริงๆ เลยแฮะ วันนี้ดูรายการ "คืนนี้ วันนั้น" ทางช่อง 7 แขกรับเชิญคือน้าเน๊ก มาเล่าเรื่องการสูญเสียพ่อ อันเป็นที่รักไป มันหดหู่พิกล อย่างน้อยเราก็รู้ว่าความสุขที่ฉาบหน้า มันยังมีความเศร้า หรือเรื่องเศร้าๆ ที่เก็บไว้ เป็นเรื่องที่เมื่อย้อนนึกย้อนไปถึงเมื่อไหร่ มันก็เศร้าเหมือนเราไปยืนอยู่นะจุดนั้น เสียงทุกเสียง ภาพทุกภาพ บรรยากาศ อารมฌ์มันกลับมาหมด ผมเองก็มีเรื่องแบบนี้หลายๆ เรื่อง เรื่องที่เมื่อย้อนนึกกลับไปทีไร ก็ต้องเสียน้ำตาให้มันทุกครั้ง เรื่องที่ทำให้เราต้องคิดว่า ทำไม เราไม่ทำอย่างโน้น ไม่ทำอย่างนี้ ในตอนที่ยังมีโอกาส ทำไมนะ ทำไมตอนนั้นเราคิดไม่ได้ ทำไมหน่ะ หรือ เพราะเราไม่เคยคิด ว่าเราจะต้องสูญเสียอะไรไปหน่ะสิ และพอมันสูญเสียไปแล้ว เราถึงคิดขึ้นมาได้ว่า หลังจากเราสูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว ชิวิตของเราเอง มันไม่เคยกลับมาปกติได้เหมือนก่อนวันนั้นอีกเลย ...
Wednesday, July 23, 2008
จะไปทำอย่างอื่นได้ยังไงถ้าคุยกับหัวหน้าไม่รู้เรื่อง?
และแล้วก็มาถึงวันที่ผมต้องจดบันทึกการประชุม หลังจากผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา ตอนแรกคิดว่าคงไม่ต้องมีผมอยู่ในเวรนี้ เพราะในที่ประชุมทุกคนก็น่าจะรู้ว่าภาษา eng ผมมันอ่อนแค่ไหน -_-" แต่ด้วยความเสมอภาค ยังไงซะ ก็หนีน่าที่นี้ไม่พ้น ผู้เข้ารวมประชุมประกอบด้วยคนสิงค์โปร 5 คน อินเดีย หนึ่ง แล้วก็ผม ให้ตายเหอะหว่ะ ประชุมมาแต่ละทีก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง นี่ยังต้องมาพยายามฟัง แล้วจดว่าแต่ละคนพูดถึงเรื่องอะไรอีก บาปกรรมโดยแท้ โชคดีที่ได้เพื่อนชาวสิงค์โปรคนนึง พยายามส่ง subtitle มาให้ทาง MSN แล้วก็พี่สาวผมที่นี่มาช่วยฟังและถามด้วย ขอบคุณครับทั้งสองคน เดือนหน้าซี้สิงค์โปรของผมมันก็ไม่ได้ทำงานกับบริษัทนี้แล้ว ส่วนพี่สาวก็คงไม่ได้มาช่วยผมบ่อยๆ แน่ๆ ถึงคราวแล้วที่จะต้องพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเองให้มันใช้งานได้จริงๆ เสียที ทำไมคนอื่นพูดฟังได้ แล้วเราจะทำไม่ได้หล่ะ เราเองไม่ใช่เหรอที่เชื่อว่าในโลกนี้ถ้าใครสักคนทำได้ เราเองก็ต้องทำได้เช่นเดียวกัน ไม่ใช่เดินหน้าหนี หรือหลบเลี่ยง หมดเวลาแล้ว เอ้า Keep Moving Forward....
Tuesday, July 22, 2008
เพียงเพราะไม่ได้ online
หลังจากไม่ได้ online msn มาทั้งวันในช่วงเวลาทำงาน
* เพื่อนโทรมาถาม
- มึงไม่สบายเหรอวะ
+ เปลา ทำไมวะ
- อ้าว แล้วไมไม่ไปทำงาน?
+ กูก็มาทำงานปกติ นี่ก็อยู่ที่ทำงาน
- อ้าวเหรอ กูไม่เห็น online นึกว่าไม่ได้ไปทำงาน
== มันพาลนึกว่าผมไม่มาทำงาน เพราะเหตุผลว่า ไม่เห็น online msn
* น้องที่ office โทรมา
- พี่ online หน่อยผมมีเรื่องจะถาม
+ แล้วเอ็งไม่ถามพี่ทางโทรศัพท์เลยหว่ะ
- เออ จริงด้วยพี่
+ เวร โทรเบอร์โต๊ก็ได้นะ จริงๆ แล้ว -_-"
* กลับถึงบ้าง online
- เห้ย โดดงานเหรอไงวะ (เพื่อนใน M ทัก)
+ เปล่า ทำไมเหรอ
- ก็ไม่เห็น online
+ งานมันนัวเนียวหว่ะ อีกอยาก on มา ก็แทบจะไม่เคยคุยกับใคร
- เออ เหมือนกันหว่ะ
== ผม online แทบทุกวัน มันไม่เคยทัก ไม่ online วันเดียว ได้คุยกับมันเลย :P
ไม่ได้แอนตี๊อะไรหรอกนะ เพียงแต่ไม่ชอบใส่ busy ในชื่อ ทั้งๆ ที่เลือก offline ก็ได้ ก็เท่านั้นเอง
* เพื่อนโทรมาถาม
- มึงไม่สบายเหรอวะ
+ เปลา ทำไมวะ
- อ้าว แล้วไมไม่ไปทำงาน?
+ กูก็มาทำงานปกติ นี่ก็อยู่ที่ทำงาน
- อ้าวเหรอ กูไม่เห็น online นึกว่าไม่ได้ไปทำงาน
== มันพาลนึกว่าผมไม่มาทำงาน เพราะเหตุผลว่า ไม่เห็น online msn
* น้องที่ office โทรมา
- พี่ online หน่อยผมมีเรื่องจะถาม
+ แล้วเอ็งไม่ถามพี่ทางโทรศัพท์เลยหว่ะ
- เออ จริงด้วยพี่
+ เวร โทรเบอร์โต๊ก็ได้นะ จริงๆ แล้ว -_-"
* กลับถึงบ้าง online
- เห้ย โดดงานเหรอไงวะ (เพื่อนใน M ทัก)
+ เปล่า ทำไมเหรอ
- ก็ไม่เห็น online
+ งานมันนัวเนียวหว่ะ อีกอยาก on มา ก็แทบจะไม่เคยคุยกับใคร
- เออ เหมือนกันหว่ะ
== ผม online แทบทุกวัน มันไม่เคยทัก ไม่ online วันเดียว ได้คุยกับมันเลย :P
ไม่ได้แอนตี๊อะไรหรอกนะ เพียงแต่ไม่ชอบใส่ busy ในชื่อ ทั้งๆ ที่เลือก offline ก็ได้ ก็เท่านั้นเอง
Sunday, July 20, 2008
หนัง super hero
หลังจากตะลอนตามเว็บบอร์ดเมื่อคืน มีโอกาสได้ย่างกรายเข้าไปที่ห้องเฉลิมไทยที่เว็บบอร์ดพันทิพ ปกติไม่ใช่ขาประจำห้องนี้เท่าไหร่ แต่พอดีอยากรู้ว่าตอนนี้กระแสหนังเรื่องไหนมาแรง เผื่อจะได้ไปดูหนังสักหน่อย เพื่อนทำวันหยุดพักผ่อน ให้มันมีสีสรรค์อย่างอื่นนอกจากการนอนทอดกายอยู่ที่บ้านมาบ้าง ประกฏว่ากระแส batman ภาคล่าสุด Dark Night หรือชื่อไทยสุดเก๋ว่า อัศวินแห่งรัตติกาล บางคนถึงขนาดออกปากชมว่าเป็นหนัง super ที่ดีที่สุด โถโปรโมทกันซะขนาดนี้สงสัยต้องไปดูซักหน่อยแล้ว คราวนี้สงสัยต้องดูคนเดียว เพราะไม่รู้จะชวนใคร บางคนอยากชวน แต่เวลาช่วงนี้คงยังไม่เหมาะสมเท่าไหร่ -_-" ออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่ 11 โมงเช้า ด้วยความที่รู้สึกว่ารอบแรกๆ คนมักจะไม่เยอะ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ ผมไปซื้อตัวรอบเวลาที่ได้ดูเร็วที่สุด โรงยังว่าเลย แต่ด้วยความที่ไหนๆ มาถึงโรงหนังแล้ว ผมเลยซื้อตั๋ว 2 ใบ (แต่คนละเรื่องนะครับ สติยังดีอยู่ :P) อีกเรื่องก็คือ HellBoy2 เข้าไปบริเวณโรงหนังก็เที่ยง ออกมาอีกทีก็เกือบๆ จะหกโมงเย็นแล้ว ผมไม่พูดถึงเนื้อหาของหนังดีกว่า พอดีดูเอามัน เลยไม่ได้เก็บสาระอะไรออกมามาก แต่ไม่เสียดายตังทั้งสองเรื่อง ไม่เสียดายเวลาที่มาดู เสียอยู่อย่างเดียว อากาศในโรงหนังมันหนาวมาก แล้วถ้าผมต้องใช้เวลาอยู่ในโรงนานขนาดนี้ คราวหน้าคงต้องติดเสื้อแขนยาวมาด้วย แล้ว
Saturday, July 19, 2008
อะไรที่เราไม่มี เราก็อยากได้ อยากเป็น
ผมเองก็มีเรื่องให้คนอื่นอิจฉาเหมือนกันแฮะ พี่คนนึงที่ office บอกผมหลายครั้งแล้ว เป็นเอ็งนี้มันสบาย จริงๆ เลยหว่ะ อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ จะกลับบ้านตอนไหนก็กลับ เหอะๆ พี่เอ๊ย พี่คนมีครอบครัว มันจะเหมือนผมได้ไงหล่ะ ผมเองก็ยังแอบอิจฉาพี่เหมือนกัน ที่เวลากลับไปแล้วมีใครรออยู่ที่บ้าน มีคนดูละครทีวีเป็นเพื่อนใช้ภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน ผมนี่่สิ ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้อยู่ office ผมแทบไม่ได้ขยับปากพูดกับใครเลยจริงๆ ไม่คุย msn ก็มานั่ง blog อยู่อย่างนี้แหละ ดูละคร ดูหนัง แล้วนั่งหัวเราะคนเดียว มันก็ไม่สนุกเท่าไหร่หรอกนะครับพี่ชาย 55 คนเรานี่ก็แปลก อยากได้อยากเป็นแต่สิ่งที่ตัวเองไม่มี หรือที่เราๆ มันไม่มีความสุขอยากที่ควรจะเป็นเพราะเราเอาแต่ไขว้ขว้าหาสิ่งที่เราไม่มี แต่ไอ้สิ่งที่เรามี มันคงดีบ้างแหละน่า ไม่งั้นคงไม่มีคนมาอิจฉาหรอก พี่ว่าจริงมั๊ยหล่ะ ..
Wednesday, July 16, 2008
พิซซ่าหน้าพริกป่น
วันนี้เดินทางออกจาก office ตั้งแต่ยังไม่ถึงทุ่ม เดินไปถึง central ก็ทุ่มกว่าๆ ไปแวะดูท่ารถตู้ คนรอแน่นเอี๊ยดทะลักออกมานอกเพลิงอันจิ๋ว (ยามปกติมันก็กว้างอยู่หรอก แต่สภาวะครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบนี้ มันดูคับแคบพิกล) เลยเปลี่ยนใจไปแวะจ่ายค่าโทรศัพท์และอินเตอร์เนตที่ทรูช๊อปก่อนดีกว่า ไหนๆ ก็อยู่ใกล้ central แล้วฝนก็ทำท่าจะตกอีก เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสอง สังเกตุดูร้านพิซซ่าแล้วก็อดขำไม่ได้ จำได้ว่าครั้งนึงมาแวะกินพิซซ่าที่นี่ กับเพื่อน ผมเองคงเป็นคนประหลาดจำพวกนึง ไม่ว่าจะสั่งหน้าอะไรมาก็เหอะ พิซซ่าหน้าที่ผมทานมันจะเต็มไปด้วยพริกป่น กัญชา (หรือใบอะไรซักอย่า) และราดทับด้วยซอสพริก จนดูกันไม่ออกหรอกครับว่าหน้าที่สั่งมา มันหน้าอะไรกันแน่ แต่ก็แปลกอยู่อย่างเวลากิน MK ผมเองไม่ค่อยชอบกินน้ำจิ้ม -_-" (โรคจิตเล็กๆ) เรื่องมันมีอยู่ว่าวันนั้นที่เราไปนั่งทานกัน ผมก็กินแบบปกติของผมหล่ะครับ แต่พอดีรูปมันแคบ ผมเลยเปิดฝาออกแล้วเขี่ยๆ พริกป่นลงไป แล้วก็ปิดฝากลับ ปัญหาคือพอผมจะหยิบมาเทอีกครั้ง ฝามันหลุดออกมา แล้วพริกป่นหล่นลงไปบนพิซซ่าชิ้นนั้น เป็นกองเลยครับ เธอตำหนิผมใหญ่เลย หาว่าผมใส่อะไรกันขนาดนั้น จะกินได้ไง จนผมบอกเธอว่า ไม่ได้ตั้งใจเฟ้ย ฝามันหลุดกลิ้งอยู่นั่นไง เท่านั้นแหละ ถึงได้ขำออก แล้วก็บอกว่า กินให้หมดด้วยนะ เหอะๆ พิซซ่าหน่ะหมดแน่ แต่พริกป่นคงไม่ไหวหรอกมั๊งคร๊าบบ
Tuesday, July 15, 2008
นาฬิกาทราย
เมื่อวันก่อนตอนรุ่งสางเกือบจะตื่นนอน (ที่คิดว่าเกือบจะตื่นนอนเพราะแว๊วเดียวที่ผมมองเห็น ผมก็ตื่นขึ้นมา) หลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืนคงด้วยที่อากาศมันร้อนทำให้การนอนไม่ค่อยต่อเนื่องสักเท่าไหร่ แต่ก่อนจะตื่นก็ยังมีเจ้านาฬิกาทรายแว๊บเข้ามาในฝัน แปลกดี ตื่นมายังนั่งนึกขำกับตัวเองชิวิตผมเรื่องเดียวที่เกี่ยวข้องกับนาฬากาทรายก็คือเวลาเปิดโปรแกรมแล้วต้องรอ เจ้านาฬิกาทรายจิ๋วที่ปลายเม้า มันจะพลิกไปพลิกมา หรือมันหลอนผมเข้าให้แล้ว ถึงขนาดเก็บมาฝันเลยเหรอวะ (คิดกับตัวเอง) ระหว่างที่นั่งสลึมสลือก่อนจะไปอาบน้ำ ผมได้มีโอกาสพิจารณาลักษณะพิเศษของวัตถุที่เรียกว่านาฬากาทราย มันคงจะเป็นเครื่องมือจับเวลาชนิดพกพา ที่สามารถใช้งานได้ทุกที่ทั้งวัน (ไม่เหมือนนาฬิากาแดดที่ต้องพึ่งแดด) แถมยังคาดหวังถึงเวลาที่เท่ากันได้ในแต่ละครั้ง ไม่เหมือนก้านธูป หรือเทียนไข ที่สภาพแววล้อมและวัสดุที่ทำ มีผลต่อความยาวนานในการเผาไหม้ของมัน อีกเรื่องนึงที่นึกถึงก็คือ เวลาเรามองนาฬิกาทราย มันมีสองส่วนเหมือนชิวิตเราโดยแท้ ส่วนข้างล่างที่ทรายไหลลงมา และส่วนข้างบน ที่ทราย ค่อยๆ หมดไป ทุกเม็ดทรายที่ไหลสู่เบื้องล่าง ก็คงไม่ต่างกับเวลาในชิวิตของเรา ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดั่งเม็ดทราย ส่วนที่เหลือด้านบนก็คงเป็นเวลาของชิวิตที่เรายังมีเหลืออยู่ ต่างกันตรงเวลาของชิวิตมันถูกปิดด้านบนเอาไว้ เราไม่รู้หรอกว่าเรามีเวลา หรือเหลือทรายอีกมากน้อยเท่าไหร่ และชิวิตเมื่อจบสิ้น การพลิกกลับถ้ามีจริง เราก็ต้องกลับมาเริ่มจากความว่างเปล่าอยู่ดี อีกบนเรียนในพุทธศาสนาที่สอนไว้คือ การเกิดหรือแตกดับ มันมีอยู่ทุกชั่วขณะจิต หมุนเวียนตราบเท่าที่ชิวิตเรายังดำเนินต่อไป ก็คงเหมือนกับนาฬิกาทรายที่ปลายเม้า พลิกไปพลิกมาจนโปรแกรมมันเปิดสมบูรณ์ แต่เมื่อไหร่เราไปเปิดโปรแกรมใหม่ เราก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นเจ้านาฬิกาทรายอันจิ๋วนี้อีกครั้ง หรือแม้แต่นาฬิกาทรายบางอัน มันอาจจะพริกกลับโดยที่ทรายยังไหลลงมาไม่หมดด้วยซ้ำ การพลิกครั้งนี้ไม่ได้เริ่มจากความว่างเปล่า แต่ยังมีเศษของทรายเก่าที่ตรงค้างอยู่ และในความเป็นจริง มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเริ่มทำอะไรโดยการลบความรู้สึกเก่าๆ ทิ้งไปให้หมด โอ้ว แค่ฝันเห็นนาฬากาทราบแว๊บเดียว มันคิดไปได้ไกลขนาดนี้เลยเหรอวะเนี๊ย!!
Sunday, July 13, 2008
เข็มทิศชีวิต
เข็มทิศชีวิต หนังสือเล่มนี้ได้มาจากน้องคนนึงเมื่อวันเกิดที่ผ่านมา (สักปี) ผมไม่เคยแกะออกมาดูเลย วันนี้เหลือบไปเห็นริบบิ้นยังผูกไว้อย่างดี แต่สภาพหนังสือมันไม่ใหม่สักเท่าไหร่ คงด้วยระยะเวลาที่มันวางอยู่กอปรกับสถานที่ที่มันวางยิ่งส่งเสริมให้มันดูเก่า เก่าเกินกว่าจะเป็นหนังสือที่ยังไม่เคยหยิบมาอ่าน แล้วมันก็ทำให้ผมละลึกไม่ได้ด้วยว่ามันมาด้วยวันเกิดปีไหนกันแน่ ตอนเค้าให้มาเค้าไม่ได้หมายความว่าผมเป็นพวกเคว้งคว้างไม่มีจุดหมายหรอกนะ แต่เค้าบอกว่าเค้าอ่านแล้วมันดี ก็เลยอยากให้ผมได้อ่านบ้าง หนังสือขายดีขึ้นหิ้งร้านนายอินทร์มานมนานแล้วแหละครับ เล่มที่ผมมีอยู่ก็พิมพ์ครั้งที่ 47 เข้าไปแล้ว ป่านนี้คงทะลุ 50 ไปแล้วมั๊ง วันนี้มันสะดุดตาผมเท่านั้นแหละ เลยหยิบออกมาเป่าๆ ปัดๆ หน่อย แต่ทันทีที่จะแกะริบบิ้นออก มันคงเป็นไปไม่ได้ ที่ผมจะอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วมีอารมณ์ร่วมกับมัน หรือเห็นคล้อยตามกับมันเป็นแน่ หนังสือคงเป็นการใช้ธรรมมะ มาเป็นเครื่องมือในการใช้ชิวิต (ผมเคยได้ดู TV แล้วคนเขียนเค้ามาพูดถึงหนังสือเล่มนี้ เมื่อไม่นานนี่เอง) ธรรมมะกับผม ถึงจะพอไปด้วยกันได้ แต่ให้ตายเหอะ ผมยังไม่สามารถสลัดความคิดบางอย่างออกไปจากจิตใจได้ ถึงบางห้วงผมจะไม่ได้คิดอะไรเลยในหัว แต่การไม่คิดอะไรเลย มันก็ไม่ได้หมายความว่าจิตมันจะว่างไปในทางเดียวกับที่ท่านพุทธฑาต ท่านว่าไว้ในหนังสือเรื่องจิตว่าง มันกลวงโบ๋ร่องลอยพิกล อาการแบบนี้เกินกับผมมาแล้วหลายครั้ง เมื่อเกิดอาการแบบนี้ทีไร ผมก็จะค่อยๆ พิจารณามันทุกที ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของผมนะ มันเกิดอะไรขึ้นกับความคิด ความรู้สึก ไม่ว่าจะต่อสิ่งที่มากระทบ สิ่งรอบๆ ตัว หรือสิ่งที่อาจจะต้องเผชิญกับมันในวันรุ่งขึ้น หรือผมเป็นคนที่ไม่มีเป้าหมายชัดเจน ไม่เคยอยากได้อะไรเป็นรูปธรรม ทำให้การมีชิวิตอยู่มันดูเหมือนไม่จำเป็นกับผมด้วยซ้ำ จนวกเข้าคำถามยอดนิยมคือ "มีชิวิตอยู่เพื่ออะไร?" เอ หรือมันถึงเวลาที่ผมต้องอ่าน เข็มทิศชิวิตแล้วนะ...
Saturday, July 12, 2008
ขอบใจนะ
เพลงนี้เพราะดี ชอบ :) ลองฟัง
--
เนื้อเพลง ขอบใจนะ แพรว คณิตกุล D.I.Y. by Narongvit ณรงค์วิทย์
ข้อความที่เธอเคยส่ง อะไรที่ทำให้ฉัน
แสดงถึงความเป็นห่วงและสนใจ
เพิ่งรู้ว่ามันลำบาก ไม่เป็นตัวเธอใช่ไหม
เหนื่อยไหม ต้องทำอะไรอย่างนี้
* อย่ายื้อให้เหนื่อยใจ หากเธอไม่เป็นตัวเอง
อย่าฝืนทำต่อไปอีกเลย เพื่อให้เรารักกัน
** ขอบใจนะที่ครั้งนึงเธอเคยยอมฝืนใจตัวเอง
ขอบใจนะฉันรู้ว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว
อย่างน้อย ครั้งหนึ่งที่พยายามทุ่มเท
อดทนให้กัน แค่นั้นก็ดีมากมาย
อย่าโทษว่าตัวเธอผิด อย่าคิดว่าเป็นเรื่องร้าย
อย่ากลัวถ้าเธอจะปล่อยมือฉันไป
กลับไปเป็นเธอคนเก่า เก็บความทรงจำนี้ไว้
ได้ไหมฉันขอให้เป็นอย่างนั้น
* , **,**
--
เนื้อเพลง ขอบใจนะ แพรว คณิตกุล D.I.Y. by Narongvit ณรงค์วิทย์
ข้อความที่เธอเคยส่ง อะไรที่ทำให้ฉัน
แสดงถึงความเป็นห่วงและสนใจ
เพิ่งรู้ว่ามันลำบาก ไม่เป็นตัวเธอใช่ไหม
เหนื่อยไหม ต้องทำอะไรอย่างนี้
* อย่ายื้อให้เหนื่อยใจ หากเธอไม่เป็นตัวเอง
อย่าฝืนทำต่อไปอีกเลย เพื่อให้เรารักกัน
** ขอบใจนะที่ครั้งนึงเธอเคยยอมฝืนใจตัวเอง
ขอบใจนะฉันรู้ว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว
อย่างน้อย ครั้งหนึ่งที่พยายามทุ่มเท
อดทนให้กัน แค่นั้นก็ดีมากมาย
อย่าโทษว่าตัวเธอผิด อย่าคิดว่าเป็นเรื่องร้าย
อย่ากลัวถ้าเธอจะปล่อยมือฉันไป
กลับไปเป็นเธอคนเก่า เก็บความทรงจำนี้ไว้
ได้ไหมฉันขอให้เป็นอย่างนั้น
* , **,**
มีคำตอบของคำถามแล้ว..
ไม่ได้ blog เสียหลายวัน จริงๆ คือรอคำตอบของคำถามด้วยแหละ รอคำตอบคือรอคำตอบ สิ่งที่รอคือคำตอบ ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะออกมาแง่บวกหรือลบ วันนี้มันมีคำตอบของคำถามแล้ว มันคงเป็นคำตอบที่ผมไม่อยากให้เป็น แต่เมื่อผมเริ่มตั้งคำถาม ผมต้องยอบรับกับคำตอบ ไม่ว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน ทันทีที่ผมเห็น mail ของคุณ ผมรู้แล้วว่าคำตอบที่ผมรอมันมาแล้ว ไม่รีรอที่จะเปิดอ่าน และซึมซับความความรู้สึกทั้งหมด ที่คุณได้บรรจุมันลงมาใน mail ฉบับนั้น ผมไม่อยากให้ใครเป็นคนแบบผมเลยนะ แต่คุณก็ดันเป็นในแนวๆ เดียวกัน เห้ย หรือคนทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้ฟะ คนแบบที่ว่าคือ แคร์ความรู้สึกคนอื่นมาก มากเสียจน ลืมความรู้สึกของตัวเองไป ตอนที่ผมได้บอกความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณไป วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมตั้งใจจะเปลี่ยน เปลี่ยนจากคนที่เก็บซ่อนความรู้สึกมาเป็นคนที่แสดงความรู้สึกออกมา ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือข้อความ แม้แต่การตั้งคำถาม ที่ล่อแหลมต่อคำตอบ ผมก็อาจหาญตั้งมันขึ้นมา จริงๆ ผมไม่ใช่คนแบบนี้โดยชาติกำเหนิดหรอกนะ อาจจะเพราะว่าผมเคยมีปัญหาเพราะการไม่ยอมพูด หรือบอกความรู้สึก บางครั้งก็คิดว่า เค้าน่าจะรู้ ซึ่งหลายครั้งเค้าก็ไม่รู้หรอก รู้มั๊ยหลายๆ คนรอคำตอบโดยการไม่ตั้งคำถาม ความรู้สึกถึงมันจะสัมผัสกันได้ แต่มันก็ไม่ชัดเจนเหมือนกับการได้พูดคุย ถามไถ่กันหรอกนะ (บอกตัวเอง) การได้รู้จักคนๆ นึง มันเป็นกำไรของชิวิต ความคิดนี้ผมยึดถือมาตลอด ไม่ว่าคนๆ นั้นมันจะดีแย่ ขนาดไหน มันคือคน ที่เราเป็นไม่ได้ เพราะเราก็คือเรา และเค้าก็คือเค้า แต่เราเรียนรู้ได้จากสิ่งที่เค้าเป็น และเค้าเจอ และในหลายๆ คนที่เราเจอ มันก็มีไม่กี่คนหรอกที่เราประทับใจมาก มากถึงขนาดไปบอกเค้าว่า เราชอบเค้า :P เมื่อเวลามันหมุนผ่าน สิ่งที่เคลื่อนไหวตามเวลาก็คือชิวิต ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่ แต่เวลามันเคลื่อนไหวจริงๆ อย่าไปกลัวว่าใครจะเสียใจ ในความเป็นตัวเราหล่ะ คิดเอาไว้เสมอว่า เราเป็นเรา มาก่อนที่เค้าจะเจอเราด้วยซ้ำ บางครั้งเราอาจจะอยากเปลี่ยนเพื่อให้มันเข้ากับเค้าได้บ้าง แต่เรายิ่งห่างจากตัวเราเท่าไหร่ บางครั้งเรากลับยิ่งห่างจากตัวเค้าด้วยเช่นกัน มันเป็นประสบการณ์ที่ดีช่วงหนึ่งของชิวิต ผมได้มีเวลาพิจารณาถึงความรู้สึกของตัวเอง ว่าทำไมไอ้ความรู้สึกที่เรียกว่า ความคิดถึง มันถึงวนเวียนไม่หาย ขนาดในวันที่มีภารกิจการงานวุ่นวาย ตอนหลับยังฝันถึง 55 ตลกดีหัวใจ แล้วมันก็เป็นอย่างนี้ทุกทีสิน้า แต่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกนะ ผมเคยผ่านความรู้สึกแบบนี้มาแล้ว แต่มันไม่เคยเข็ดเท่านั้นเอง แต่แปลกอย่างคือ เวลาเกิดความรู้สึกแบบนี้ทีไร มันไม่เคยเหมือนว่าเคยเกิดมาแล้ว หรือผมเองไม่เคยยอมเรียนรู้เรื่องพวกนี้นะ คงอย่างที่ผมบอกคุณ ผมไม่เคยสนใจว่าท้ายที่สุดมันจะจบลงยังไง ผมอินกับมันเสมอมา จะว่าไป พี่คุณคนนี้ มันไม่เคยยอมเรียนรู้จากความผิดหวังเลย หรือไงนะ :P
** ผมยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อคุณเสมอนะ ตราบที่คุณยังต้องการ **
** ผมยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อคุณเสมอนะ ตราบที่คุณยังต้องการ **
Wednesday, July 02, 2008
ถ้ามีโอกาสได้ผ่านมาที่แห่งนี้ ตอบคำถามผมหน่อยนะ
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่ช่องว่างมันขยายตัวกว้างมาก มากเสียจนผมมองไม่เห็นอีกฝั่งนึง จนตอนนี้ผมเริ่มนึกไม่ออกแล้วว่าระยะทางระหว่างเรามันห่างกันขนาดไหน เพราะเมื่อสุดสายตาของผมแล้ว ระยะทางมากกว่านั้นมันก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับคุณไกลออกไปจากเดิมเลย เชื่อมั๊ยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยสนใจช่องว่างที่เกิดขึ้นตรงนี้เลย มันก็แค่ระยะทาง ไม่ได้มีผลต่อความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณแม้แต่น้อย ผมเป็นคนนึงที่เชื่อว่าความรู้สึกต้องการที่ว่าง ที่ว่างของความรู้สึก ที่ว่างที่จะเปิดโลกทัศน์เราต่อสิ่งต่างๆ มันสำคัญเพราะการดำรงอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน ถ้าวันนึงในเส้นทางเค้าเจอใครดีกว่า เค้าก็ต้องไป หรือถ้าเค้ารู้สึกว่าเราไม่ใช่ นั่นก็เป็นเหตุผลนึง ที่ดี แต่เค้าจะรู้ได้ไงว่าใช่หรือไม่ใช่ มันก็ต้องด้วยการเปิดพื้นที่ว่างตรงนี้แหละ ให้ได้เกิดความเคลื่อนไหว ได้เห็นมุมมองอื่นๆ ได้สูดอากาศในพื้นที่อื่นๆ บ้าง นอกจากลมหายใจ มุมมอง หรือความคิดของแค่คนที่เราคบด้วยเท่านั้น ถ้ามันใช่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมันได้หรอก แต่ถ้าไม่ใช่ คุณเองก็ฉุดรั้งเค้าไม่ได้ทั้งชิวิตเช่นกัน รักใครจงปล่อยเค้าไป ให้เค้าเห็น ให้เค้าเจอ ให้เค้าได้พบ สิ่งต่างๆ จนเค้ารู้สึกว่าอะไรที่มันสำคัญที่สุดสำหรับเค้า ถ้าสิ่งนั้นเป็นคุณ นั่นคงเป็นคนที่ใช่สำหรับคุณแล้วแหละ แล้วตูมาพร่ำบ่นอะไรในวันนี้วะเนี๊ย 55 เปล่าหรอก คืออยากจจะบอกว่า ณ เวลาที่เขียนข้อความนี้ ความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณมันก็ไม่ได้แปลงเปลี่ยนไปไหนหรอกนะ ความคิดถึงที่ไม่ได้ป่าวประกาศ หรือแจ้งให้ทราบ มันก็ยังมีปริมาณเท่าเดิม (แถมยังเป็นปริมาณที่นับไม่ได้ด้วย คงพอๆ กับความคิดถึงที่ผู้ชายคนนึงจะสามารถคิดถึงผู้หญิงคนนึงได้แหละ - เน่าจริงๆ 555) ความห่วงใยก็เช่นกัน แต่ปัญหาคือผมรู้สึกว่า ความรู้สึกที่ว่ามานี้ มันทำให้คุณอึดอัด หรือเปล่านะ ผมรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น และผมคิดว่าจะไม่รบกวนคุณด้วยเรื่องแบบนี้แล้วแหละ เพราะมันเหมือนผมเห็นแก่ตัว ที่เอาแต่ความรู้สึกปั้นเป็นก้อนๆ โยนใส่หัวคุณอยู่ได้ (ถึงจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้โยนก็เหอะ :P ) เห้ยพร่ำมาซะยาว เอาเป็นว่า มีเรื่องนึงอยากจะถาม ซึ่งผมเคยถามคุณมาแล้วครั้งนึง วันนี้คำตอบมันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้
ถาม: เรายังอยู่ในสภาวะเรียนรู้กันและกันอยู่มั๊ย? หรือโอกาสนั้นมันจบไปแล้ว
นี่ยังยืนยันเหมือนเดิมนะ ขอให้ตอบอย่างที่ใจคิด ไม่ต้องกลัวผมเสียใจ เพราะยังไงซะ ไม่ว่าคำตอบมันจะออกมายังไง มันไม่ทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีต่อคุณ มันหมดไปหรอก แต่มันอาจจะเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมเท่านั้นเอง ที่สำคัญผมไม่อยากให้วันนึงในอนาคต เมื่อมองมายังจุดนี้ ผมจะไม่มีคำตอบให้ตัวเอง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเรา และผมคงคิดแทนคุณไม่ได้ แม้นจะคาดเดาไปร้อยแปดความเป็นไปได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ปล. ไม่ต้องรีบตอบนะ ถ้ายังไม่พร้อม ผมรอได้เสมอ
ถาม: เรายังอยู่ในสภาวะเรียนรู้กันและกันอยู่มั๊ย? หรือโอกาสนั้นมันจบไปแล้ว
นี่ยังยืนยันเหมือนเดิมนะ ขอให้ตอบอย่างที่ใจคิด ไม่ต้องกลัวผมเสียใจ เพราะยังไงซะ ไม่ว่าคำตอบมันจะออกมายังไง มันไม่ทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีต่อคุณ มันหมดไปหรอก แต่มันอาจจะเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมเท่านั้นเอง ที่สำคัญผมไม่อยากให้วันนึงในอนาคต เมื่อมองมายังจุดนี้ ผมจะไม่มีคำตอบให้ตัวเอง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเรา และผมคงคิดแทนคุณไม่ได้ แม้นจะคาดเดาไปร้อยแปดความเป็นไปได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ปล. ไม่ต้องรีบตอบนะ ถ้ายังไม่พร้อม ผมรอได้เสมอ
Subscribe to:
Posts (Atom)