Saturday, April 28, 2007

คนที่อ่อนแอ อยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้ (อย่างมีความสุข)

คุณเป็นคนอ่อนแอหรือเปล่า? คุณเป็นคนยังไงก็ได้ ใครอยากทำอะไรก็ทำ ขอให้ไม่เกี่ยวกับคุณ หรือแม้แต่บางเรื่องที่กี่ยวกับคุณ คุณก็จะไม่ถือสาหาความมาก คุณคิดว่ายอมๆ ไปเถอะ ไม่อยากวุ่นวาย คุณทำอะไรแต่ในใจ ภายในความคิด ไม่กล้าที่จะทำมันเพราะกลัวจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน กลัวผลกระทบที่เกิดขึ้น คุณคิดว่าคุณเป็นคนที่แคร์ความคิดคนอื่นเสมอ คุณคิดว่าคุณเข้าใจในสิ่งที่เค้าทำ ถึงแม้มันจะส่งผลที่ไม่ดีต่อตัวคุณ คุณเก็บงำความรู้สึกไม่ดีไว้ แทบจะไม่เคยมีใครล่วงรู้ถึงความเศร้าของคุณ คุณทำให้มันดูดี ดูไม่แย่ ทั้งที่ในใจกลับสับสน คุณเป็นอะไรหล่ะ ถ้าไม่ใช่คนอ่อนแอ ที่ไม่สมควรอยู่ในโลกแบบนี้ สังคมแบบนี้ วัฒนธรรมแบบนี้ หรือรายล้อมไปด้วยผู้คนที่มีความคิดแบบนี้ อย่าดำรงอยู่ด้วยความคิดที่จะทำให้ถูกใจทุกคนอยู่เลย ในเมื่อคุณก็รู้ว่าไม่มีใครพอใจกับอะไรได้ทุกเรื่องหรอก วันนึงสิ่งที่เรียกว่าดี อะไรที่เป็นความพอใจ มันย่อมแปรเปลี่ยนไป แต่ก็เท่านั้นแหละ คุณก็ยังพอใจที่จะทำเยี่ยงคนอ่อนแอ ไม่หรอก มันไม่ใช่ความผิดของคุณ แน่นอน ...

Sunday, April 22, 2007

ร้านรับซื้อของเก่า

ในระหว่างที่นั่งรถเมล์ไปทำงาน เส้นทางที่ต้องผ่านร้านรับซื้อของเก่า หลายๆ ครั้งที่มันบังเอิญสะดุดตาผมขึ้นมา ซ้ำยังกระตุ้นความทรงจำในวัยเด็กให้กระจ่างชัดราวกับเด็กคนนั้นยังไม่ได้โตจนกลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตจำเจในมหานครใหญ่แห่งนี้เลย อะไรทำให้เราระลึกถึงความทรงจำเก่าๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะเราแก่? ว่ากันว่าคนแก่มักจะคุยแต่เรื่องอดีต ก็แหง๋แหละ อนาคตมันมีไม่มากพอที่จะให้คำนึงถึง แต่อดีตที่ผ่านมา มันช่างยาวนานจวบจนย่างเข้าวัยชรา แต่สำหรับผมอนาคตมันก็ยังยาวนานควรค่าแก่การคิดถึง ส่วนอดีตก็มีหลายเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำ อย่างเช่นร้านขายของเก่าที่ว่า สมัยเด็กผมมักจะเป็นลูกมือคนสำคัญของย่าในการนำกล่องกระดาษพับรวมกัน แล้วใส่รถเข็น เดินทางไปยังร้านขายของเก่า เพื่อเปลี่ยนจากขยะให้กลายเป็นเงิน ผมชื่นชอบงานนี้เป็นพิเศษ นอกจากจะได้รับส่วนแบ่งจากย่าแล้ว (เรียกว่าย่าได้ส่วนแบ่งจากผมน่าจะเหมาะกว่า เพราะส่วนใหญ่แกจะให้ผมทั้งหมด) ผมยังได้มีโอกาสไปสัมผัสสถานที่ ที่เต็มไปด้วยของแปลกตา ของเล่นเก่าๆ ของใช้เก่าๆ บ่อยครั้งถ้ามีสินค้าสะดุดตา ผมก็จะกลายเป็นลูกค้าร้านขายของเก่าไปด้วยในคราวเดียวกัน ผมเชื่อว่ามีเด็กผู้ชายหลายๆ คนเป็นเหมือนผม พวกนิสัยชอบรื้อค้น แกะโน่น รื้อนี่ ผมยังมองว่ามันนิสัย ที่ดี นิสัยของนักวิทยาศาสตร์ (ย่าไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เพราะมันนำมาซึ่งความเลอะเทอะสกปรก) อย่างน้อยวิศวกรไฟฟ้า คนนี้ ก็มีพื้นฐานมาจากการรื้อค้นพวกนี้แหละครับ ...

Friday, April 20, 2007

เหตุการณ์ระทึกขวัญ (คนอื่น)

เมื่อวานระหว่างกำลังสั่งก๊วยเตี๋ยวกิน เกิดเหตุการไม่คาดฝันหม้อแปลงระเบิด (เรียกระเบิดแล้วกัน ไม่รูจะเรียกอะไร มันไม่มีเสียงตูมตาม แค่เกิดการสป๊าก แล้วมีประกายไปออกมา) ทำให้ไฟดับเป็นหย่อมๆ ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ทำไมบ้านโน้นดับ บ้านนี้ไม่ดับบังเอิญร้านที่ผมกินมันดับ คนขายมัวแต่เอะอะด้วยความไม่เข้าใจ ระแวกร้านเธอดับไปสามร้านรวมถึงร้านเธอด้วย มันไม่ได้ดับทั้งหมด มันไม่มืด แต่ก็ทำให้ผมต้องรอกินก๊วยเตี๋ยวนานขึ้นอีกอึดใจ ก่อนเธอจะคิดได้ว่าควรจะขายของก่อน อาการดับแบบนี้ไม่ค่อยเกิดที่บ้าผมเท่าไหร่ เพราะถ้าดับ มันจะดับเป็นวงกว้างพอสมควร อาจจะทั้งซอย หรือไม่ก็ทั้งตลาด ผมไม่ได้สงสัยหรอก ว่าทำไมมันไม่ดับทั้งหมด จริงๆ แล้วมันก็จะดับเฉพาะบ้านไหนที่บริโภคไฟจากหม้อแปลงตัวนั้นแหละครับ ไม่มีผลกับระบบโดยรวม เหมือนท่อประปาแตก บ้านที่รับน้ำหลังจากจุดที่แตก ก็จะได้รับผลกระทบ หม้อแปลงทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนแรงดันของกระแสไฟฟ้าครับ ระบบส่งพลังงานด้วยสายไฟ จะมีหม้อแปลงเป็นหัวใจที่สำคัญทีเดียวครับ แล้วทำไมต้องแปลงไฟไปๆ มาๆ มันเป็นเรื่องของการคงสภาพของพลังงานครับ สายไฟที่เราเห็นอยู่บนยอดเสาสูงๆ จะมีแรงดัน ถึง 115,000 volts เชียวนะครับและอาจจะมากกว่านั้นในระบบสายส่งบางประเภท ส่วนเจ้าพวกที่บนยอดเสาร์ในเมืองก็อยู่ที่ 22,000 volts แต่พอมาอยู่ในบ้านเราแล้วมันก็เหลือ 220 volts ตามมาตรฐานอของบ้านเรา (ในบางประเทศก็อยู่ที่ 110v) แล้วมันลดการสูญเสียพลังงานยังไง? พลังงานมันเกิดจากการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าครับ แล้วก็เคลื่อนที่ภายในสายส่ง มันก็มีพลังงานสูญเสียอันเนื่องมากจากความต้านทานของสายส่ง ความต้านทานมากหรือกระแสมาก ก็จะทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานมาก การลดการสูญเสียก็ทำได้โดยการลดอย่างใดอย่างนึง กานลดความต้านทานภายในสายเป็นเรื่องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายครับ เค้าก็เลยเลือกลดกระแสให้มันไหลน้อย ในระบบไฟฟ้าพลังงานไฟฟ้าเกิดมาก การคูณกันของกระแสกับแรงดัน ดังนั้นถ้าเราเพิ่มแรงดันให้มาก กระแสมันก็จะน้อย เนื่องจากพลังงานมันเท่าเดิมครับ ตอนนี้แหละครับ เจ้าหม้อแปลงที่ว่ามันอยู่ในส่วนนี้แหละครับ

สังเกตไหมครับว่าสายที่มันอยู่บนเสาร์ไฟฟ้า มันมี 3 เส้น? ปกติไฟมันจะส่งกันไปเป็น 3 เฟส และ 1 กราว เครื่องใช้ไฟฟ้าเรามันต้องการ 220v ก็จะเอาเฟสใดเฟสนึงจับคู่กับกราว ก็จะได้แรงดัน 220v แต่ก็มีพวกเครื่อจักรใหญ่ๆ อาจจะต้องการใช้ทั้งสามเฟสเลยก็มีครับ

ผมร่ำเรียนมาโดยตรงด้านนี้แต่ก็ยังไม่เคยทำงานเกียวกับมันเลย มันเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงน้อยมาก ผมเคยคิดด้วยซ้ำว่าไฟฟ้ามันมีอะไรวะ ไม่มอเตอร์ ก็หม้อแปลง ตั้งแต่ยุกต์ไหนๆ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ อาจจด้วยความใหญ่ของระบบ ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดน้อย เหมือนช้างที่ดูเชื่องช้ากว่าหนู เรื่องมันเป็นเรื่องยากและซับซ้อนเหมือนกัน บางทีคุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้หรอกครับ ผมคงไม่บ่นถึงเหมือนกัน ถ้าเพียงเพราะผมไม่ได้เรียนวิชาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ทุกวันนี้เป็นผู้ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวครับ อะไรๆ มันอาจจะเปลี่ยแปลงไปจากสิ่งที่ผมเคยเรียนแล้วก็เป็นได้ บางทีได้พูดถึงมันบ้างก็รู้สึกดี วันก่อนเจอเพื่อน ทักมันคำแรกเลยกะให้มันประทับใจ "มึงตัดผมแล้วเหรอวะ" มันบอก "กูตัดมาเป็นอาทิตย์แล้ว วันนั้นเจอมึง ก็ตัดแล้วมึงไม่ได้สังเกตุเหรอวะ" หึหึ ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอกครับ บางครั้งสิ่งที่ทำไปมันก็ไม่ได้ผลอย่างที่คิดหรอก :P

Sunday, April 15, 2007

แสงศัตวรรษ

ณ. วันเวลานี้ ยังมีปัญหาคาราคาซังระหว่างกองเซ็นเซอร์กับผู้กับกับภาพยนต์เรื่อง 'แสงศัตวรรษ' (ภาพยนต์โดย คุณ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เคยทำหนังเรื่องสัตว์ประหลาด คว้ารางวัลจากต่างประเทศมาแล้ว แต่ผมเอง ไม่เคยดูหนังของเค้าหรอกครับ) ปัญหาคือหนังเรื่องล่าสุดที่ว่า จริงๆ ก็ได้ผ่านตาชาวโลกมาบ้างแล้วเหมือนกัน แต่พอจะลงโรงฉายจริง (ได้ข่าวว่าเป็นโรงภาพยนต์ในเครือเมเจอร์เพียงสองโรงเท่านั้น) กลับไม่ผ่านการเซ็นเซอร์ด้วยเงื่อนไขใจความ 4 ประเด็นหลักๆ คือ ภาพในหนังฉากพระเล่นกีต้า พระเล่นเครื่องร่อน หมอดื่นเหล้า หมออวัยวะเภทแข็งตัว ได้ติดตามสาระของเรื่องพวกนี้เบื้องต้น มันก็น่าขันดีสำหรับผม มันมีอะไรแปลกวะ ให้ตายตายเหอะ เรื่องเห่ยๆ ที่พระทำมันมีมากกว่านี้อีกตั้งมากมายก่ายกอง ทุกคนรู้ผมเชื่ออย่างนั้น พระทำโน่นทำนี่แปลกประหลาด กระทั่งข่มขืนสีกา มาใส่ใจอะไรกับการเล่นกีต้าร์ เล่นเครื่องร่อน ขัดกับจริยวัต อันสำรวมของพระสงค์งั้นหรือ? ผมไม่ได้แอนตี้ศาสนาพุธครับ แน่นอน ผมก็ชาวพุธคนนึง ศาสนาพุธสอนให้เราปรับตัวให้เข้ากับโลกมิใช่หรือ คุณกลัวอะไร? คุณกลัวว่าศาสนาจะเสื่อมเพราะการเผยแพร่เรื่องพวกนี้ออกไปสู่สายตาคนงั้นหรือ? ศาสนาพุธในสายตาคุณมันเสื่อมไปตั่งแต่คุณคิดแบบนี้แล้วครับ เหล็กดีต้องทนไฟ ศาสนาก็คงไม่ต่างกัน สังคมจะเป็นเบ้าหลอมศาสนาให้ปรับเปรียนพฤติกรรมตามความเหมาะสม โดยที่แก่นแห่งศาสนายังคงเดิม เหมือนหนังสือที่เปลี่ยนปกแล้วพิมพ์ขายใหม่โดยที่เนื้อหายังคงเดิม อย่ากลัวศาสนาจะเสื่อมเพราะเรื่องพวกนี้เลยครับ ไม่งั้นมันไม่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้หรอก หมออีกก็เรื่องอะไรกัน หมอเป็นพระเจ้าหรืออย่างไร ถึงจะไม่สามารถมีพฤติกรรมแบบคนทั่วไปได้ แล้วไอ้หมอเลวๆ ที่มันเลี้ยงไช้คนไข้ ที่มันหากินกับอวัยวะคนนั่นเล่า มันเป็นหมอหรือเปล่า? ผมเคยคิดนะว่าอาชีพที่หากมีการตัดสินจำคุก หมอนี่แหละที่ผมจะอนุโลมให้ ไม่ต้องไปอยู่ในห้องขัง อยากให้ไปทำงานรักษาคนไข้ดีกว่า มันเป็นอาชีพที่สูงส่ง เหมือนอาชีพครู ถ้าครูทำให้คนเป็นคน หมอก็ทำให้คนยังเป็นคนอยู่เช่นกัน

ณ. วันเวลานี้ ก็น่าจะได้ข้อสรุป เพราะเจ้าของหนังยืนยันว่าไม่ผ่านกองเซ็นเซอร์ก็ไม่เป็นไร เค้าก็จะไม่ฉายหนังเรื่องนี้ เพราะการตัดบางส่วนออกไปนั้น มันทำให้เสียความเป็นหนังในความตั้งใจของเค้าไป ติสสุดๆ ผมเข้าใจนะ ว่ามันเป็นอารมณ์ยังไง เราไม่ใช่คนอดอยาก ที่หากินกับงานที่ทำ มันอาจจะเป็นงานที่ทำเพื่อนสนองความต้องการทางจิต มากกว่าทางร่างกาย ถ้ามันไม่ได้อย่างใจคิด ก็เก็บไว้แล้วกัน ทำมันแล้วนี่ ปัญหาสุดท้ายคือกองเซ็นเซอร์ไม่ยอมคืนฟิมล์หนังให้ อ้างว่าเอาไปตัดฉากที่ว่าออกก่อน แล้วจะคืนให้ โอ้วว ประเทศไทย เป็นอะไรไปเนี๊ย หรือมันเป็นของมันมาตั้งนานแล้ว ผมต่างหาก ที่ไม่เข้าใจ แปลกแยก ...

Saturday, April 14, 2007

สุขสันต์วันปีใหม่ไทย

ได้ข่าวว่าสนามหลวงน่าสนใจ มีการอันเชิญพระพุทธสิหิงส์ มาให้ประชาชนได้สงน้ำ คนอยากเปียกคาดว่าก็คงยังไม่ได้เปียกอย่างที่ตั้งใจ คนไม่อยากเปียกอย่างเราดันเปียกน้ำป๋อมแป๋มอยู่ในซอยโชคชัยสี่ ทันทีที่ลงจากรถ ก็เปียกไปครึ่งท่อน หลังจากนั้น 5 นาที ไม่มีส่วนไหนที่แห้ง เล่นสงกรานต์มันต้องในซอยจริงๆเลย ถนนแคบๆ หน่อยพอให้รถได้ติดขัดชะลอตัวบ้าง ในซอยที่ว่าคึกคักพอสมควร ตั้งใจไปยืนขายน้ำเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที ตั้งแต่ไปยันกลับ ไม่พบว่ามีลูกค้ารายใดซื้อน้ำสักขวด ไม่เป็นไรไม่ซีเรียส เสียค่าเบียร์ไปมากกว่าต้นทุนค่าน้ำซะอีก คาดว่าขายน้ำหมดก็ยังไม่คืนทุนค่าเบียร์อยู่ดี หุหุ นอนหลับได้หน่อยก็ตื่นมาตอนตีห้า แล้วก็นอนต่อไม่ได้แล้ว ทำท่าเหมือนจะเป็นหวัด วันนี้คงต้องออกไปขายน้ำเป็นเพื่อนมันอีกวัน ข้อความที่ส่งมาได้รับนะ แต่ไม่ได้ reply กลับไปเนื่องด้วยโทรศัพท์เจ้ากรรมตั้งแต่ upgrade firmware ไปมันดันส่งข้อความภาษาไทยไม่ได้ แม้นชีวิตการสื่อสารจะใช้ไทยคำอังกฤษคำ แต่พอตั้งใจจะใช้ภาษาอังกฤษจริงๆ ดันนึกข้อความไม่ออก ซะงั้น

Monday, April 09, 2007

ไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ได้ไป "งานสัปดาห์หนังสือ"

วันนี้ลืมตาออกจากห้องไปราวๆ เที่ยงเศษๆ ก็จะอะไรซะอีกเจ้าเพื่อนโทรมาตามให้ไปช่วยติดตั้ง software ตามที่นัดหมาย (แต่ไร้การ confirm ใดๆ) เอาวะไปก็ไป ตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดี ก็แทบจะได้ได้เคลื่อนกายพ้นเขตแดนของคอนโดอันเป็นที่พำนักเลย วันนี้อากาศอึมครึมครึ้มฟ้าครึ้มฝน มอซอไร้แดด ที่หมายก็ไม่ใกล้ไม่ไกล ระแวกน๊อดป๊าก แถวๆ ม.ธุรกิจบัณฑิต จากตลาดนนท์ถือว่าอยู่ในวิสัย การดำเนินการไร้ปัญหาบ่ายสามกว่าๆ ก็เสร็จธุระ ออกมานั่งกินกาแฟคุยกันเรื่อยเปลื่อยก่อนจะแยกย้าย (มันคงจะเป็นเบียร์ถ้ามีร้านมันเปิดต้อนรับในเวลานั้น) มันส่งผมตรงป้ายรถเมล์แถวๆ ม.ธุรกิจบัญฑิต ริมคลองประปา เดินยังไม่เข้าป้ายดีรถเมล์ก็มา สาย 70 ผมไม่เคยนั่งสายนี้มาก่อน แต่สายไหนๆ ผมก็ไม่เคยนั่งจากจุดนี้ อย่างแรกที่คิดจะทำคือ ออกจากตรงนี้ไปก่อน เอ แล้ว 70 มันไปสุดที่ไหนกันหล่ะครับ? เดินขายังยกไม่พ้นบันได พนก. ก็บอกว่า สุดสายที่ สถาณีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ อืมม ok, on the way.

นั่งไปสักพักก็เกิดอาการปวดฉี่อย่างเบา หมายความว่าผมยังคงสถานะไปได้อีกไม่เกินชั่วโมง รถมันก็เลยแยกงามวงศ์วานไปแล้ว ที่หมายก็คงต้องเป็นสถาณีรถไฟฟ้าแล้วแหละครับ ด้วยความที่ไอเดียร์กระฉูดบวกกับได้ปลดปล่อยร่างกายออกจากสถานที่จองจำมาแล้ว ตอนนี้คิดแล้วหล่ะครับว่าจะไปฉี่ที่ไหนดี (มันจะมีคนบ้าคิดอย่างนี้บ้างเปล่าวะเนี้ย?) เริ่มที่ central ลาดพร้าว ไม่ work เดินไกล ใกล้กว่าก็ union mall แต่ก็ไม่ไหว มันเหมือนห้องน้ำจริงๆ อย่างอื่นแทบไม่มีอะไรน่าสนใจ เอ หรือจะเป็นเอ๊สพานาด น่าสนใจยังไม่ฟังธง เผื่อจะได้ดูหนังซักรอบในรอบหลายปีก่อนกลับ ถัดมาก็ฟอร์จูน ได้เดินดูสินค้า IT (คิดอีกที มึงบ้าหรือเปล่าวะ ชิวิตนอกจากคอนโดน มึงก็อยู่ฟอร์จูนนี่แหละ เออหว่ะมันก็จริง) แว๊บๆๆ เข้ามา เห้ย มันมีงานหนังสือนี่หว่า อีกใจนึงก็ไม่ค่อยอยากไปกลัวเปลืองตังก์ เอาวะไปงานหนังสือดีกว่า ไม่ได้ซื้ออะไรก็ได้ดูหนังสือใหม่ๆ หนอนหนังสือหน้าตาดีๆ อิอิ เอสพาน๊าด เลยต้องยกยอดไปจนกว่าโอกาสจะอำนวย

รถเทียบที่สถานีศูนย์ประชุม อย่างแรกที่พ้นประตูสถานีคือผมไปกดตังก์!! กูจะบ้าตาย ไหนบอกไม่ซื้ออะไรไงวะ แต่ก็เหมือนมีอำนาจบางอย่างเตือนว่ากดไว้ก่อน ไม่ได้ซื้อเงินก็ไม่ได้ละลายไปไหน จากนั้นอย่างแรกที่ต้องทำคือไปเข้าห้องน้ำ หลังจากทำภารกิจหลักเสร็จก็ถึงคราวของภาระกิจรอง คือไปเดินชมงาน ไปตัวเปล่าแสนสบาย ไม่ต้องมีเป้พะรุงพะรัง ผ่านทุกๆ ด่านตรวจโดยไม่มีชะงักหรือติดขัดอะไร

หลังจากได้แผนที่การจัดบู๊ทแล้ว ก็ต้องกำหนดที่หมายหล่ะครับ ไม่เดินกวาด เพราะไม่ได้มาตลาดนัด มาดูหนังสือของบางสำนักพิมพ์ หรือนักเขียนบางคนเท่านั้น ไม่ได้หาหนังสือแปลกใหม่ที่ไม่เคยอ่าน หนังสือดีต้องมีคนการันตีร์ ต้องมีการพูดถึง ไม่ใช่ตลาดนัดสินค้าตาร้ายดีตาดีเสีย เห้ยตาดีด้ายตาร้ายดี อะไรวะ นึกที่ถูกไม่ออก พอ!! ปวดหัว ช่างมัน!!

ที่แรกที่นึกถึงคือสำนักพิมพ์ชาวใต้ (น่าจะนาครนะ เดินนึกยังไงก็นึกไม่ออก พอนึกออกชื่อนี้ก็ดันไม่มีในแผนที่) เลยต้องเปลี่ยนเป็นพี่วินทร์ละกัน ผมไม่ได้ซื้อหนังสือแกอ่านมานาน พอๆ กับคุณประภาส แกทั้งคู่สอนให้ผมคิด อ่าน ในบางมุม ที่เราๆ หรือใครๆ อาจจะนึกไม่ถึง โป๊ะเช๊ตรงที่ผมดันแตกความคิดไปคนละทางกับพี่แกทั้งสอง เลยต้องเลิกอ่านแนวๆ คุยกับประภาสไปโดยปริยาย (อีโก้นี่หว่า? จริง แต่กำลังปรับๆ อยู่) คุณวินทร์ยังไม่เท่าไหร่ เพราะแกออกแนวเรื่องสั้น ทำให้ผมยังพอได้ติดตามบ้าง เลยไปร้านคุณวินทร์ คนเยอะมาก ไม่ไหวอะ มีอีกร้านระแวกไม่ไกล ร้านสีชมพูใสแจ๋ว เหลือบมองชื่อร้าน "Jamsai" เห้ย สวรรค์มาโปรด จำได้ว่าเป็นร้านที่น้องๆ ที่ office เอ่ยถึง เลยต้องจบความวุ่นวายที่ร้านพี่วินทร์เท่านี้ ร้านนี้คนเยอะก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องเข้าใกล้มากก็ได้ เพราะไม่ได้ดูหนังสือ อิอิ ใช้เวลาน้อยกว่าที่คาด ไม่ประทับใจ ไม่รู้ว่าไม่ถูกวัน หรือทัศนะคติไม่ตรงกับน้องๆที่ office ก็สุดจะเดา ไปมติชนดีกว่า หาๆ หนังสือคุณประชาคม สุนาลัย มาอ่านสักหน่อย บู๊ทมติชนเองมีหนังสือน่าสนใจหลายเล่มทีเดียวครับ รวมถึงวรรณกรรมเยาวชนที่น่าอ่านหลายๆ เล่ม เดินๆ พลิกๆ อ่าน หยิบติดมือมาสามสี่เล่มได้ พอจะจ่ายตังก์ เปลี่ยนใจกระทันหัน ไม่เอาดีกว่า สงสารหนังสือที่บ้านกองเป็นกระบุง พอได้ใหม่ ก็อ่านแต่หนังสือใหม่ หนังสือเก่าไม่ได้อ่านซะที ปีนี้งดหนังสือใหม่ละกัน เดินออกมาจะกลับอยู่แล้ว ไหนๆ ก็มาแล้วเดินกวาดซะหน่อย เผื่อจะเจอสำหนังพิมพ์นาคร เดินอยู่พักใหญ่ก็เจอหนังสือของสำนักเขียนที่ว่า (มันอยู่บู๊ท บ้านวรรณกรรม จำไว้ คราวหน้าจะได้ไม่หลง) ไม่มีหนังสือเล่มใหม่ของนักเขียนที่ผมต้องการ (จริงๆ เค้าเสียชีวิตไปแล้ว แต่หลังๆ ก็มีการรวมเล่มเรื่องสั่น ที่ยังไม่ได้มีการรวมเล่มออกตามมาเหมือนกัน) ไม่มีเล่มใหม่ออกมา จะว่าไปงานเขียนเค้ามันก็สมบูรณ์ในระหว่างที่เค้ายังมีชีวิตอยู่ พวกที่รวมเล่มหลังๆ ไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ (มิหน้าหล่ะ ตอนเค้าอยู่เค้าถึงไม่ได้เอามาตีพิมพ์รวมเล่ม คิดเอาว่ามันไม่ผ่านเกณฑ์ของนักเขียนเอง)

เดิมมีแผนจะไปนั่งเรือด่วนเจ้าพระยากลับ คิดถึงพระปรางวัดอรุณขึ้นมาตะหงิดๆ ลมเอื่อยๆ เย็นดีพิกล นังเรือน่าจะ work แต่ก็ไม่ได้ไปหรอกครับ ไม่แน่ใจเรื่องเวลาเที่ยวสุดท้านของเรือว่าเป็นทุ่มหรือทุ่มครึ่ง แล้วถ้าไปแล้วไม่ทันเรือ มันจะกลายเป็นวิบากกรรมต่อเนื่อง เลยนังไฟฟ้าย้อนกลับมาที่สถานีบางซื่อ ก่อนจะนั่งรถเมล์กลับ

กลับถึงห้อง นอนแอ้งแม้งตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง ตื่นมาราวๆ เที่ยงคืน ได้รับ message ว่า "วันนี้ได้มาล่องเรือเรียบเจ้าพระยาด้วย อากาศเย็นสบายมากเลย ฮี่ฮี่ สะพานซังฮี้กับพระรามแปดที่ไม่ได้เห็นตอนดึกมานาน สวยจัง" .. ทำให้รู้สึกเสียดาย ที่ไม่ได้ไปนั่งเรือด่วนกลับ เอ แต่ถ้าเราไปนั่งเรือด่วน เราจะเห็นซังฮี่กับพระรามแปดหรือเปล่าหล่ะ? พระตอนนั้นสนใจวัดอรุณนิ หุหุ ...

Tuesday, April 03, 2007

เรามีเวลากับมันน้อยเช่นนั้นเหรอ?

สองวันมานี่พระจันทร์สว่างโร่ผิดปกติหรือเปล่า หรือคิดไปเองหว่า หรือไม่ได้เห็นมานาน ฟ้าที่บ้านคงจะมึดและเห็นดาวเยอะกว่านี้คิดดูขนาดกรุงเทพดาวยังพร่างพราวขนาดนี้ ฟ้าหน้าร้อนมันก็กระจ่างตาดีพิกล เมฆไม่ค่อยมี เลยทำให้พระจันทร์สว่างโร่ พระจันทร์ขนาดนี้ยังไม่ทำให้ดาวหนีหายไปไหน วันนี้เหลือบมองตึกกระจกอีกแล้ว ตึกระจกที่มองจากทางลงสถานีรถไฟฟ้า มันสวยจัง กระจกสะท้อนแสงจากท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ใกล้ตก อยากจะนั่งมองสักพัก แต่ภาระที่ต้องรีบไปธนาคารให้ทันทำให้ต้องรีบ มันสวยในะทุกครั้งที่เร่งรีบ ความสวยมันจะส่งผลกับเรามากที่สุดในยามที่เรามีเวลากับมันน้อยเช่นนั้นเหรอ? ชีวิตทุกวันนี้มีความสุขยังหว่า หรือมันจะมีความสุขที่สุดตอนที่มันเหลือน้อย...

Sunday, April 01, 2007

Walk the line

หนังที่สร้างมาจากส่วนนึงของชีวิตจริงของนักดนตรี Johnny Cash เป็นหนังที่กวาดรางวัลมาหลายเวที ได้ Joaquin Phoenix รับบทเป็นตัวเอกของเรื่อง (Johnny Cash) คนที่แสดงเป็นตัวร้ายในเรื่องกราดิเอเตอร์เผื่อนึกหน้ากันไม่ออก เป็นหนังเรื่องนึงที่มีแพลนจะดูมานาน ขนาดซื้อแผ่น dvd มาดองไว้ แต่ก็ไม่ได้เปิดดูเสียที วันนี้ Truevisions เอามาบรรณาการถึงที่ ขนาดนี้ถ้ายังบ่ายเบี่ยงไม่ดู จะอ้างว่าอยากดูก็คงไม่มีใครเชื่อ หลายๆ คนไม่ชอบหนังที่สร้างจากชีวิตจริง อาจจะด้วยความเป็นชีวิตจริงของคนที่มีตัวตนจริงๆ การทำให้เป็นหนังมันก็เลยยาก ยากตรงที่มันเป็นเรื่องจริง ความจริงบางอย่างมันก็กระทบกระเทือนต่อชีวิตคนอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่แค่คนที่เป็นต้นเรื่องเพียงอย่างเดียว

หนังดราม่า มันคงไม่สนุกเท่าไหร่ถ้าคุณไม่ได้ชอบหนังแนวนี้ เรื่องจะเนิบๆ บีบคั้นอารมณ์ในบางช่วง อารมณ์ของหนังแสดงผ่านฝีมือนักแสดงเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าแววตา คงไม่ต้องบอกนะครับว่านักแสดงนำของเรื่องทำได้ดีแค่ไหน จากการได้เข้าชิงและคว้ารางวัลมาจากหลายเวที หนังเริ่มต้นจากชีวิตในวัยเด็กของตัวเองที่มีปมปัญหาของชีวิต และปมนั้นมันฝังอยู่ในจิคใจเค้าจนโตขึ้นมา หนังไม่ได้แสดงความสัมพันธ์ว่าความรู้สึกนั้นมันส่งให้เค้าประสบความสำเร็จ หนังไม่ได้แสดงให้เห็นด้วยความความสามารถทางด้านดนตรีของพระเอก มันเกิดมาได้อย่างไร หลายๆ คนอาจจะไม่ได้สนใจ เค้าแทรกไว้หน่อยๆ พอให้นึกออกว่า อ๋ออ มันเริ่มสนใจดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมว่าเค้านำเสนอมุมมองในส่วนที่เกี่ยวกับความรักระหว่างพระเอก กับคนรัก มากกว่า ความรักทำให้คนเราทำอะไรได้หลายๆ อย่าง แม้กระทั่งทำให้ชีวิตตัวเองเดินไปในเส้นทางที่ผิด และความรักนั้นเองที่เป็นตัวดึงให้คนที่สิ้นไร้ความหวัง สามารถกลับมาในเส้นทางของชีวิตที่ดีขึ้นได้

เนื้อหาของหนังมันไม่ค่อยเต็มในความรู้สึกของผม แต่บทบาทการแสดงของ Joaquin และ Reese Witherspoon (นางเอก) ทำได้ดีมากครับ ผมให้เครดิคกับนักแสดงทั้งคู่เต็มๆ เลยครับสำหรับหนังเรื่องนี้

ในส่วนตัวได้อะไรจากการดูหนังเรื่องนี้?
- เมื่อเราอยู่ในจุดที่สูงกว่าคนทั่วไปเช่นการที่คุณกลายเป็น super star คุณจะต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด ผู้หญิง จะมีใครสักกี่คนเข้มแข็งต่อเรื่องเหล่านี้ได้
- คุณรักใครก็ได้ แต่คุณอย่าลืมที่จะรักตัวเอง ถ้าคุณไม่รักตัวเอง คุณจะไปรักคนอื่นได้อย่างไร (อย่างที่ทาทายังบอก)
- ความรักมันชั่งยิ่งใหญ่ มีพลัง เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ดังนั้น หากคุณทำอะไรด้วยความรักแล้วหล่ะก็ ผลของมันออกมาดีแน่นอน
** ในเรื่องผมชอบตอนที่ Ray Crash พูดกับลูกชาย Jonhy Cash ด้วยประโยค นี้ "Mister big shot, mister pill poppin' rock star. Who are you to judge, you ain't got nothin', big empty house, nothin', children you don't see, nothin', big ol' expensive tractor stuck in the mud, nothin'. "

มันเป็นหนังที่ดีเรื่องนึงในความคิดผมนะอารมณ์แนวๆ Beautiful mind, Cinderlera Man ถ้ามีสองเรื่องที่ว่าอยู่ใน collection อยู่แล้ว หา Walk the line มาดูเถอะครับ แนะนำ