Saturday, December 30, 2006

เดือนแห่งการท่องเที่ยว

ไม่ได้ update blog ซะนาน มัวแต่ผลาญเวลาไปกับการท่องเที่ยว ผมใช้เวลาร่วมเดือนเดินทางไปต่างจังหวัดแทบจะทุกสุดสัปดาห์ อาจจะเนื่องจากไม่ได้ท่องเที่ยวมานาน หรือเพราะปกติธรรมดาผมก็ไม่ได้ท่องเที่ยวบ่อย ชอบอยู่เฉยๆ เงียบๆ ซะมากกว่า หรือไม่ก็ไปไหนมาไหนใกล้ๆ ด้วยตัวคนเดียว ฉายเดี่ยวไม่ต้องเกี่ยวพันกับใครมาก ไม่ต้องหยุดรอใคร วิธีแบบนี้น่าจะลองเปลี่ยนดูบ้าง การได้ไปไหนกับเพื่อนก็เป็นอีกแง่มุมนึงของรูปแบบ คุณไม่สามารถเลือกได้อย่างเด็ดขาดในสิ่งใดสิ่งนึง ทางเลือกเกิดจากความเห็นชอบของผู้ร่วมเดินทาง แม้นทางเลือกสำหรับบางคนจะเป็นคำตอบที่ว่า "ยังไงก็ได้" แต่นั่นแหละ มันก็คือคำตอบที่ออกมาจากทางเลือกที่มี คือเลือกที่จะไม่เลือก ไม่ตัดสินใจ ดังนั้นถ้าเมื่อไหร่คุณเลือกที่จะไม่ตัดสินใจ สิ่งที่คุณทำได้ก็คงเป็นเพียงผู้เฝ้ามอง ที่ไม่สามารถแสดงความโต้แย้งหรือขัดขืนได้เต็มที่ ก็คุณเลือกแล้วหนิว่าจะไม่แสดงสิ่งที่คุณต้องการไว้แต่ต้น หนทางอีกแสนไกล คิดถึงประชาธิปไตย คิดถึงการเลือกตั้ง คิดถึงการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย คิดถึงการโต้แย้งของพรรคการเมือง คิดถึงอีกหลายๆ อย่างภายใต้ครรลองของประชาธิปไตย ....

Thursday, November 30, 2006

แกะกรุ postcard

มีโอกาศไปหยิบ postcard เก่าๆ ที่เคยได้รับมาอ่าน มีความสุขดี ความสุขตอนที่ได้รับมันเหมือนไม่ได้เก่าตามสภาพของ postcard เลย คิดถึงคนเขียนขึ้นมาตะหงิดๆ ผมจะเขียน postcard ไปหาคุณแน่เร็วๆ นี้ ขอบคุณครับสำหรับความรู้สึกดีๆ แม้นวันนี้จะเป็นอย่างไร วันนั้น มันก็เป็นห้วงเวลาแห่งความทรงจำของผมเสมอ ...

Tuesday, November 28, 2006

เรื่องของคนใกล้ตัว

อันว่าคนใกล้ตัวแล้ว ไอ้เรื่องเค้าไม่เกี่ยวกับเรานี่มันดูท่าจะเป็นไปได้ยาก เรื่องราวของความรักยามสุขก็ล้นเหลือ ยามเศร้าก็ทำความรู้สึกดำดิ่งดั่งบ่อน้ำที่ไร้ก้น ทั้งคับแคบ เหงา เคว้งคว้างเหมือนดั่งไร้หนทาง คุณจะทำยังไง ถ้าวันนึงคุณไปพอว่าคนที่คุณรัก แล้วเค้าก็อ้างว่ารักคุณ แต่เค้ากลับมีอีกคนนึง ที่คุณไม่รู้ หรือรู้แต่ก็ไม่ทันได้สังเกตว่ามีอะไรผิดปกติ จนวันนึงมันมีเหตการณ์ทำให้คุณทราบข้อมูลที่สามารถจะโยงใยเรื่องราวเหล่านั้นเข้าเป็นเรื่องเดียวกัน ในเรื่องลักษณะนี้ผมยังทึ่งในความสามารถของผู้หญิงหลายๆ คน เธอสามารถที่จะเอาเรื่อง(ที่เราคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่อง) มาผูกต่อขยายความเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ ต่างกันกับผู้ชายที่มักจะเอาเรื่องที่ควรจะเป็นเรื่อง เก็บไว้ในใจ กลายเป็นผู้ชายเงียบงันไม่เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา เคยลองคุยๆ กับเพื่อนฝูงที่เคยประสบปัญหารักไม่ถึงปลายทาง ต่างก็ยอมรับว่าแต่ละคนก็มีจุดที่ยังไม่ได้ปรับจูนให้เข้ากัน คุยไปคุยมาอยากจะสรุปว่าความรักมันทำให้เราดีขึ้นทุกครั้ง เราจะมีการปรับนิสัยบางอย่างเพื่อให้มั่นใจว่ารักครั้งใหม่มันจะดีหรือสวยงาม จนเราลืมไปว่าความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคน และความรักแต่ละครั้งมันก็อยู่ภายใต้เงื่อนไข ของแต่ละคู่ซึ่งอาจจะไม่เหมือนกัน ความรักในมุมมองของผมคงเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกชั่วขณะที่ความรักยังคงดำเนินอยู่ ...

Tuesday, November 21, 2006

Live: เรื่องเศร้าชองความรัก

ปัญหาของความรักก็คือรักเค้ามากเกินไปจากห่วงก็กลายเป็นหวง มันยากจริงๆ เรื่องของจิตใจ คนเราต้องช้ำรักสักกี่ครั้งถึงจะได้มีความสุขกับมันจนถึงบั้นปลายแห่งชีวิต โดยเฉพาะกับสังคมเมืองหลวงที่แสนจะวุ่ยวายหลากหลาย มันเฝ้าลับชิวีตจิตใจของคนในสังคมให้เต็มไปด้วยแหลมคม เหลี่ยมมุม ขอบอันแหลมคมพร้อมที่จะเชือดเฉือนใครก็ตามที่เข้าใกล้ มีเบื่องหน้าเบื้องหลังตลอด อยู่ด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ระแวงในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ปัญหาที่เกิดกับคนรอบข้างเป็นไปได้ยากที่จะไม่กระทบมาถึงจิตใจเรา ฉันต้องร้องไห้เป็นเพื่อนแกหรือเปล่า เปล่าเลย ฉันไม่ร้องไห้ให้แกเห็นหรอก น้ำตาฉันมันสูงค่าเกินกว่าจะให้แกเห็น มันไหลย้อนเข้าไปในจิตใจฉันต่างหาก ฉันรู้จักแกดี ฉันถึงรู้ว่าคำปลอบโยนของฉันมันคงไม่ได้ช่วยอะไรแกได้สักเท่าไหร่ แต่ปัญหาของแกมันก็กระจายความอึดอัดไปสู่ผู้คนรอบๆ เพื่อนเอ๋ยชิวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ มีสุขทุกข์เศร้าสมหวังบ้างในกาลเวลาที่ผ่าน มันคือความทรงจำ มันคือรอยชองชิวิต มันไม่หนักเกินกว่าที่เราจะฝ่าฟันไปหรอก แล้วมันนึง ณ ที่แห่งนึง เราจะยิ้มและหัวเราะกับสิ่งที่เราทำในวันนี้ อยากให้แกผ่านไปถึงที่ตรงนั้นเร็วๆ แล้วกันนะ ..

Monday, November 20, 2006

Live: เืบื่อตัวเอง กับงานที่ไม่เสร็จซะที

ในแต่ละวันมันก็ไม่ได้มีเรื่องหลักๆ อะไรให้เลือกทำมากมาย ผมยังเป็นคนที่ มีกิเลสอยู่มาก มากจนเลือกที่จะทำในสิ่งที่อยากทำ มากกว่าในสิ่งที่ต้องทำ ด้วยข้ออ้างทั่วไป 'ทำแล้วมีความสุขก็ทำ' ถึงเวลาที่ต้องกลับมาถามตัวเองแล้วว่า แล้วไอ้เรื่องที่มันเป็นภาระความรับผิดชอบ ทำไมไม่ทำ หรือเพราะตอนทำไม่รู้ว่ามันจะทำไปแล้วไม่มีความสุข พอเริ่มไม่มีความสุขก็ทิ้งขว้างมันไป หรือวางเก็บไว้ ชั่งเป็นคนที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย เพราะงานที่ได้รับปากใครไว้แล้วมันคืองานที่มีความผูกพันธ์ ต้องทำให้เสร็จ เพราะผลสำเร็จมันไม่ได้เป็นผลเฉพาะแก่ตัวเรา แต่มันยังเกี่ยวเนื่องด้วยบุคคลที่ผูกพันธ์กับงานชิ้นนั้นเขียนไว้เพื่อนตระหนักถึงสิ่งที่ต้องทำ เราอาจจะเลือกทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ แต่บางครั้งเราก็ต้องทำสิ่งที่เราเลือกไปแล้วให้มันสำเร็จเสร็จสิ้นไปเหมือนกัน แม้นภายหลัง เราอาจจะมองว่ามันเป็นสิ่งน่าเบื่อก็ตามที
ช่วงนี้เกิดอาการฝันถึงใครคนนึงซ้ำซากอีกแล้ว ไปแอบชอบเค้าอีกแล้วตรู ความสุขของการแอบชอบชาวบ้านมันก็มีความสุขดีหว่ะ ถึงเค้าไม่ได้คิดอะไรกับเรา แต่เราก็มีความสุขในการได้เจอ ได้พูดคุย ได้สังเกตุอากัปกิริยา หุหุ อยากลองเขียนเรื่องสั้นสักเรื่อง (เรื่อยเปลื่อยแล้วตรู)

Friday, November 17, 2006

Live: OpenSource กับ รมต. กระทรวง ICT

ช่วงนี้กระแสชาว OpenSource ในประเทศผม (ประเทศไทย) คึกคักเป็นพิเศษ ก็อะไรซะอีกหล่ะครับ ก็ รมต. ว่ากาีรกระทรวง ICT ดันมาให้สัมภาษณ์ในเชิงไม่สนับสนุนวงการ OpenSource ซักเท่าไหร่ ถึงเลือดเนื้อผมเองจะไม่ได้ คลุกคลีกับวงการนี้มาก แต่ผมก็ได้ประโยชน์จาก OpenSource เต็มๆ โดยเฉพาะกับชีวิตและการงานที่พัฒนาจนถึงทุกวันนี้ ผมตัดมาให้ดูคร่าวๆ เพื่อการวิจารณ์จะได้มันมือ (ตัวผมเอง) มากขึ้น

'With open source, there is no intellectual property. Anyone can use it and all your ideas become public domain. If nobody can make money from it, there will be no development and open source software quickly becomes outdated... As a programmer, if I can write good code, why should I give it away? Thailand can do good source code without open source.'

อยากจะนึกเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตแบบเศรษฐกินพอเพียง สังคมที่เกื้อหนุน เอื้อเฟื้อ แม้กระทั่ง Source Code ซึ่งถ้าเป็นแม่ค้าน้ำพริก มันก็คือสูตรการทำน้ำพริดรสเด็ดนั่นเองครับ ถ้าเป็นแม่ค้าเค้าไม่บอกสูตรคุณหรอกครับ เพราะมันสำคัญกับการค้าขายของเค้า แต่ถ้าเป็นเพื่อนเค้าให้คุณไปดูเค้าทำได้ถึงในครัวด้วยซ้ำ แถมยังอาจจะกำชับด้วยซ้ำว่า 'วันไหนลงมือทำ อย่าลืมเอามาให้ชิมด้วยนะ' นึกให้เกิดการเปรียบเทียบกับเนื้อหาในคำพูดของท่าน 'As a programmer, if I can write good code, why should I give it away?' มันความคิดของระบบทุนนิยมจ๋าเลยนี้น่า กระผมเองไม่ใช้พวกฝักใฝ่การเมืองสักเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้จักพวกทุนนิยม สังคมนิยม ประชานิยม บ้าง ผมเองไม่รู้จักท่านมาก่อนหน้า แม้นในวันนี้ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าท่านด้วยซ้ำ ไม่ว่าผ่านสื่อใดๆ ผมอาจจะไม่กว้างขวางรอบรู้โดยเฉพาะในสิ่งที่ผมไม่สนใจ แต่ผมก็ไปไม่เคยปรามาสใครในสิ่งที่ผมไม่รู้ ผมไม่รู้ด้วยว่าท่านรู้จักวงการ OpenSource ดีแค่ไหน เพียงแต่ผมรู้สึกเสียใจ ที่วิสัยทัศน์ของท่าน มันทำให้ผมมองไม่เป็นอนาคต IT ของประเทศนี้ด้วยซ้ำ

** ท่านเข้าใจคำสอนอันประเสริฐประโยคสั้นๆ ที่ว่า 'เศรฐกิจพอเพียง' ดีแค่ไหนครับ แต่ผมคิดว่า ผมกับท่านอาจจะคิดไม่เหมือนกัน **

Linux: SSL กับการ Gen Key

## เริ่มจาก CA
openssl req -x509 -newkey rsa:1024 -days 3650 -nodes -keyout private/cakey.pem -out certs/cacert.pem

## จากนั้นสร้าง Private Key กับ Request Key (เกิดอยากได้ Cert จากพวก Verisign)
openssl req -newkey rsa:1024 -nodes -keyout private/stunnel-key.pem -out requests/stunnel-req.pem

## สร้าง Cert เอง
openssl x509 -req -in requests/stunnel-req.pem -CA certs/cacert.pem -CAkey private/cakey.pem -out certs/stunnel.pem -days 3650 -CAserial ca.srl -CAcreateserial

เท่านี้แหละครับ พี่น้อง จำไม่ได้สักที ขอจดละกัน

Thursday, November 16, 2006

Oracle: การ split จาก Table ธรรมดา เป็น Partition Table

- กรณีแรก table เดียว แตก partition ทำได้โดยการสร้าง table ที่มี field เหมือนเดิม แต่เพิ่มส่วนของ partition มา เช่น

create table new_table ( email_id, category, date_of_mail, name )
partition by range(date_of_mail)
(
partition jan2001 values less than ( to_date( '01-feb-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
partition feb2001 values less than ( to_date( '01-mar-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
partition mar2001 values less than ( to_date( '01-apr-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
...
partition sep2002 values less than ( to_date( '01-oct-2002', 'dd-mon-yyyy') ),
....
)
as
select * from category_date_wise_email;

// หลังจากนั้นก็ Drop table เดิมทิ้ง
drop table category_date_wise_email;

// Rename tables
rename new_table to category_date_wise_email;

- กรณี หลายๆ table มาเป็น table เดียว (ที่มี partition)

// สร้าง table ปลายทาง รูปแบบ partition tables
create table t( dt, OWNER, OBJECT_NAME,
SUBOBJECT_NAME,
OBJECT_ID, DATA_OBJECT_ID, OBJECT_TYPE, CREATED,
LAST_DDL_TIME, TIMESTAMP, STATUS, TEMPORARY,
GENERATED, SECONDARY )
partition by range(dt) (
partition part2000 values less than ( to_date( '01-jan-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
partition part2001 values less than ( to_date( '01-jan-2002', 'dd-mon-yyyy') ),
partition part2002 values less than ( to_date( '01-jan-2003', 'dd-mon-yyyy') )
)
as
select sysdate dt, all_objects.* from all_objects where 1=0;


// ย้าย table ย่อยเข้ามา (ตัวอย่าง ย้าย table t3 มาอยู่ใน Part2000 ของ table t)
alter table t
exchange partition part2000
with table t3
without validation
/

อ้างอิง: http://asktom.oracle.com/pls/ask/f?p=4950:8:::::F4950_P8_DISPLAYID:5532451667350

Tuesday, November 14, 2006

เขียนฝันด้วยชีวิต - ประชาคม สุนาชัย

รู้จักหนังสือเล่มนี้จากห้องสมุดในเว็บพันทิพ กลุ่มย่อยหนังสือแนะนำ ว่ากันว่าดีมาก มีโอกาสไปงานหนังสือ ก็เลยคว้ามาอ่านสักหน่อย ยอมรับเหมือนกันว่าเป็นหนังสือที่เผาผลาญเวลาเมียงมองผู้คนระหว่างเดินทางโดยรถเมล์ของผมไปจนหมด ธรรชาติของผมไม่ชอบอะไรที่มันอารมณ์เดียว ผมไม่ชอบหนังเรื่องเดอะเลตเต้อ (The Letter) มันเศร้าเกินไป ผมไม่ชอบ Shutter มันน่ากลัวเกินไป เขียนฝันด้วยชีวิตเองแรกๆ ก็เกือบทำเอาผม เกิดอารมณ์อย่างนั้นอยู่เหมือนกัน ว่าคนเราทำไมโชคร้ายผิดหวังซ้ำซากได้ขนาดนั้น แต่ด้วยความที่ตลอดการเดินทางฟันฝ่าชีวิตของตัวละคน (หรือผู้เขียนเอง) ได้มีตัวละครเข้ามาสอดแทรกหลากหลาย มากมาย ไม่รู้ว่าจากวันนี้จนผมตายไป ผมจะได้มีโอกาศพบความเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้หรือไม่ อะไรคือสิ่งที่ทำให้เค้าต้องฝ่าฟัน อะไรทำให้เค้ายังดำรงชิวิต อยู่ได้ มันไม่คล้ายจะเป็นโชคเท่าไหร่ จะว่าสวรรค์แกล้งก็ไม่เชิง ผมว่ามันมีสีสรรค์ และมันมีความเป็นชีวิต บางตอนมันสะท้อนมาถึงตัวเรา หลายๆ ตอนสะท้อนไปยังคนรอบข้าง สังคมรายรอบ มันเป็นหนังสือที่ดี
ผมตัดสินใจมอบหนังสือให้น้องชายคนนึงเนื่องในโอกาสรับปริญญา ผมอ่านมันแล้ว ผมเห็นว่ามันดี และมันน่าจะเป็นประโยชน์และแรงใจสำหรับการต่อสู้ชีวิต สำหรับใครก็ตามที่ได้อ่านมัน Congratulaton ! น้องชาย

Sunday, November 05, 2006

ปีศาจ - เสนีย์ เสาวพงศ์

พึ่งเคยได้อ่านหนังสือที่เขียนโดยคุณ เสนีย์ เสาวพงศ์ เคยได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว พึ่งมีโอกาสได้อ่าน ที่ตัดสินใจหยิบมาก็เพราะไอ้ข้อความที่ว่า "หนึ่งในหนังสือดีรอบ 100 ปี" เท่านั้นแหละ อยากรู้ว่าจะเจ๋งอย่างว่าหรือเปล่า ใช้เวลานานในการอ่าน 30% แรกชองเล่ม และใช้เวลา 1 ในสามของช่วงแรก อ่าน 70% หลัง เขียนให้มันงงไปงั้นแหละ จะบอกว่า หลังๆ เริ่มติด เลยอ่านจบเร็ว อ่านจบต้องพิจารณาด้วยตัวเองว่า มันสมกับเป็นหนังสือดีในรอบ 100 ปีหรือเปล่า หรือนิยามน้ำเน่าธรรมดา? เอาประเด็นแรก น้ำเน่าหรือเปล่า? ถ้าคุณคิดว่านิยายที่นางเองเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านที่รวยมาก ส่วนพระเอกเป็นลูกชาวนา โดนทางบ้านนางเอกกีดกัน สุดท้ายนางเองต้อง .. ไม่บอกดีกว่าเผื่อคุณยังไม่ได้อ่าน จะเสียอรรถรสหมด เอาเป็นว่าถ้าคุณคิดว่าพล๊อดเรื่องแบบนี้น้ำเน่า ผมจะบอกว่าคุณจิดใจคับแคบเกินไป เพราะพล๊อตเรื่องมันเป็นแค่กรอบกว้างๆ ชองหนังสือ ผมสนใจในรายละเอียดของตัวละคร ความคิดอ่าน มุมมอง การเลือกที่จะทำ หรือไม่ทำอะไร มากกว่า ผมถือว่าคุณเสนีย์ ท่านสะท้อนสังคม มุมมอง และความคิดของคนต่างชนชั้นได้ดีทีเดียว อ่านจบยังสงสัยอยู่เลย ว่าท่านตั้งชื่อหนังสือว่า ปีศาจ ก่อนที่จะเขียนเสร็จ หรือเขียนเสร็จแล้วมาตั้งที่หลัง จะบอกว่า มันช่างเป็นชื่อที่เหมาะกับนิยายเรื่องนี้จริงๆ ปีศาจ ไม่ใช่สิ่งที่มีรูปธรรมชัดเจน แต่มันคือสิ่งที่อยู่ในจิตใจ ความคิด ความรู้สึก อะไรที่เรากลัว เราเรียกมันเป็นปีศาจก็ได้ และนั่นเอง ความเปลี่ยนแปลงก็คือปีศาจตัวนึงที่คอยหลอกหลอนผู้ที่ไม่อาจยอมรับ หรือปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ และปีศาจตนนี้ไม่มีวันตายด้วย เพราะชิวิตเรา การเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกลมหายใจอยู่แล้ว ....

คืนวันลอยกระทง

แปลกดี มันก็เป็นอย่างนี้ออกบ่อย คืนที่จะนั่งทำงานอยู่คนเดียว ชิวิตส่วนใหญ่ที่ผ่านมา มันก็มีแต่คืนแบบนี้ แต่ทำไมในคืนที่คนส่วนใหญ่คิดกันว่าไม่น่าจะนั่งอยู่ที่บ้าน มันช่างเป็นคืนที่ดูเหงาหงอย ซึมเซาแปลกๆ สังเกตได้ว่ามันเป็นแบบนี้มาหลายทีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันแม่ วันพ่อ ปีใหม่ วาเลนไทน์ หรือวันที่มีกิจกรรมนอกสถานที่อีกหลายวัน รวมถึงคืนวันลอยกระทงด้วย หงาวอีกแล้วตู มันคืออะไรหว่า มันคือความอิจฉาที่คนอื่นมีความสุขกัน แต่ตัวเองไม่ได้ไปไหนเหรอวะ? แล้ววันธรรมดาไม่เห็นรู้สึกแบบนี้ หรือเพราะมันไม่มีอะไรให้อิจฉา แปลกจริงๆ คนเรา หรือช่วงนี้คิดถึงใครเป็นพิเศษ หรือเปล่า ...

Sunday, October 15, 2006

มีอะไรผิดปกติ?

ผมนอน น้องผมนอน มีโทรศัพท์ดัง น้องผมรับ
มันตะโกนเรียกผม ผมงัวเงียตะโกนถามว่าใครโทรมา น้องชายผม
บอกกับโทรศัพท์ว่า ผมนอนอยู่ ปลายสายบอกไม่เป็นไร น้องผมวางโทรศัพท์
แล้วมันบอกผมว่าใครโทรมา ..

มีอะไรผิดปกติ?
- มันตะโกนเรียกผมทำไม?
- ผมตื่นแล้ว ทำไมมันบอกว่าผมนอนอยู่?
- ทำไมมันไม่บอกก่อนว่าผมนอน ถ้าฝ่ายโน้นอยากให้ปลุกค่อยเรียกผม?
- มันเป็นอาการปกติของคนทั่วไป ขั้นตอนเป็นแบบนี้?
- หรือผมคิดมากไป?
- ...

Sunday, October 08, 2006

อำพราง - ชีพชนก ศรียามาตย์

Intro: D G D G

D Em
ความรู้สึกเก็บไว้อีกหน ดวงใจอดทนไว้ก่อน
A D G D
ที่เธอจะร่ำร้อง ต้องเป็นที่ไม่มีใคร

D G
ยิ้มไว้ก่อนนะ ยิ้มอย่างที่เคยทำได้
Em A D
อำพรางความเจ็บปวดไว้ อย่าให้ใครรู้ว่าเราอ่อนแอ

A D A D
* เมื่อผิดหวังมันจึงอ่อนล้า ไม่ใช่รักแท้มันจึงปวดร้าวใจ
G A D
แต่ฝันยังอยู่กับเธอ ในเลือดที่ไม่ยอมแพ้ใคร
G A D
ฝันยังอยู่กับเธอ ทุกเสียงถอนหายใจ
G A D
ฝันยังอยู่กับเธอ ในเพลงที่เธอร้อง
Em A D
ให้เธอเข้มแข็งไว้ เข้มแข็งไว้ คนดี

Instru: G D A D (3times) G D A

D G
ฟ้ามืดจึงเห็นดวงสวย มีความเศร้าช่วยให้เข้าใจ
Em A D
ชีวิตจึงต้องอดทนไว้ เพื่อให้ฝันไม่ตาย

(ซ้ำ *)

Em A D A D
ให้เธอเข้มแข็งไว้ เข้มแข็งไว้ คนดี

คืนที่พระจันทร์เป็นพระเอก

คงไม่แปลกถ้าคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเขาต้องรับบทเอกบนท้องฟ้า แต่คืนนี้พิเศาหน่อย คือมีผู้ร้ายด้วย อิอิ ผมหมายถึงเมฆหมอกที่ปลิวว่อนบดบังความงามของพระจันทร์เป็นระยะ ผมคิดอะไรบ้างกับสิ่งที่มองเห็น
- ผมคิดว่าชีวิตมันย่อมมีอุปสรรค์บ้าง ต่อให้เร้าทำดีแค่ไหน บางครั้งคนที่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมก็ไมอาจจรับรู้มัน
- ผมคิดว่าบางปัญหาเราควบคุมไม่ได้ ได้แต่รอให้มันผ่านพ้นเราไป สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือ ใจเราเองต้องยอบรับ
- ผมคิดถึงเนื้อเพลงของคุณชีพชนกที่ว่า "ฟ้ามึดจึงเห็นดาวสวย" พระจันทร์เองก็ไม่ต่างกัน มันพล้องกับหลายๆ เพลง แต่ผมชอบ วลี ของเพลงนี้เป็นพิเศษ ความทุกข์ทำให้เราเห็นความสุขได้ชัดเจนขึ้น อันนี้วลีผมเอง 55
- มีคนชวนผมดูพระจันทร์ ผมรู้สึกดี ไม่ใช่ดีที่มีคนชวน แต่ดีที่คนที่ชวนเค้าสนใจสิ่งเหล่านี้ สนใจชีวิต สิ่งรอบกาย มากกว่านั้นคือ เธอมองเห็นความงามของมัน
มันเป็นคืนที่ดี ที่กำลังจะผ่านพ้นไป เสียอยู่อย่างเดียว ผมไม่สามารถพาตัวเองให้ผ่านพ้นปัญหาของงานที่อยู่ข้างหน้าได้ แม้นว่าจะใช้เวลาอยู่กับมันมาเกือบๆ จะ 24 ชั่วโมงแล้วก็ตาม
.. เวลาแค่ไหนถึงจะพอ ไม่มีใครรู้หรอก ..

Wednesday, October 04, 2006

ยามเช้าของชีวิต

อ่านจบลงไปเรียบร้อยแล้ว หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือสำหรับเด็กครับ ถึงแม้เนื้อหาหลักๆของเรื่อง จะนำเรื่องของเด็กๆ มาเป็นแกน เนื้อหาออกจะแนววิจารณ์สังคมเล็กๆ ผมก็ไม่รู้ว่าภาษาหนังสือเค้าเรียกว่าอะไร แต่ผมอ่านแล้วรู้สึกอย่างนั้น หลายๆ เรื่องราวมันก็ตรงกับชิวิตในวัยเด็ก ผมคิดว่าตรงกับคนอายุ 25-45 ทุกๆ คนครับ เพราะมันเป็นยุกต์ของการเปลี่ยนสังคม ยุคที่เราอยากจะก้าวพ้นวิถีเกษตรกรรม วิถีที่ผู้เขียนพยายามจะสือว่ามันคือชีวิต ผมคล้อยตามไปได้มากทีเดียว การทำงานในเมืองใหญ่มันเกิดความคิดแนว matrix (หนังครับหนัง) matrix อยู่รอบๆ ตัวเอา เราไม่ได้กำหนดชีวิตของตัวเอง แต่สิ่งรอบๆตัว ค่านิยมมันกำหนดเรา ให้เราต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น แม้เราจะมีความสุขบ้างในบางโองกาส แต่มันเป็นความสุขจริงๆ หรือ? เหมือนหย่อนอาหารลงตู้ปลาทอง แล้วมันก็แห่มากินกัน มันมีความสุขเหมือนกับปลากัดที่ไปแทะเลมตะไคร่น้ำตามก่อหญ้าหรือเปล่านะ ผู้เขียนแสดงให้เห็นถึงวิถีต้นแบบของสังคมชนบท การเติบโตจากวัยเด็กสุ่ความเป็นผู้ใหญ่ หลายๆ อย่างเราลืมไปว่าตอนเด็กเราก็เคยมีความคิด ความหรือสึก หรือแม้แต่ข้อสงสัยหลายๆ อย่าง แบบเด็กๆ เด็กที่อยู่ในหุบเขาทะเลใต้ หรือลูกที่ราบสูงอย่างผม หาได้มีความแตกต่างทางความคิด อาจจะเพราะเด็กมันคิดอะไรง่ายๆ แล้วธรรมชาติมันเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ต้องอธิบายอะไรให้ซ้ำซ้อน ไม่ต้องอ้างถึงทฤษฎีร้อยพัน สมการอีกหมื่น เราอาจจะไปได้ไกลถึงขอบจักรวาล มันจะมีความหมายอะไร ถ้าเราไม่เข้าใจชีวิต ...

Monday, October 02, 2006

วันนี้เป็นวันเกิดเพื่อนคนนึง

วันก่อนคุยกับน้องคนนึงเรื่องความเครียดของคนขับรถเมล์ ปัญหาที่เค้าต้องเผชิญในแต่ละวัน เห็นน้องบอกอยากจะไปคุยกับคนขับ อยากถามสารทุกข์สุขดิบ อยากคุยกับเค้า (เป็นคนช่างมีน้ำใจดีแท้ 55) วันนี้ตอนเช้าโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้ถามเส้นทางรถเมล์กับพนักงานเก็บค่าโดยสาร เนื่องด้วยยรู้สึกว่าเส้นทางมันเปลี่ยนไป แถมยังเปลี่ยนไปในรูปแบบที่ผมชอบซะด้วยสิ คุณครับ เธอคุยกับผมวนไปเวียนมากับเรื่องของเส้นทางอยู่นานสองนาน หรือเพราะปกติไม่ค่อยมีใครได้คุยบ่อย หรือเพราะหลายๆ คนก็อยากทราบเช่นเดียวกับที่ผมอยากก็เป็นได้ เพราะสังเกตว่าสายตาแทบทุกคู่จับจ้องมาที่การสนทนาของเรา ผมเข้าใจแล้ว ว่างานดังกล่าวมันอาจจะซ้ำซากจำเจน่าเบื่อกว่างานผมมากมายหลายเท่านัก การมีอะไรแปลกใหม่ในเส้นทาง (เช่นมีคนมาถามเส้นทางอย่างผม) มันคงเป็นอะไรที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย เรามีชีวิตสุขสบายกว่าคนอื่นๆ อีกมากมายหลายร้อยเท่านัก ฉะนั้นเบื่อแค่ไหนก็ต้องอดทน

** วันนี้วันเกิดเธอผมกะจะอวยพรตั้งแต่เที่ยงคืนแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม ถึงไม่ได้บอกออกไป ยังไงก็ขอให้มีความสุขสมหวังในทุกๆ เรื่อง ละกันนะจ๊ะ อิอิ **

Thursday, September 28, 2006

เกี่ยวกับ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์

มีโอกาสได้อ่านหนังสือของคุณ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ "ยามเช้าของชีวิต" ณ วันที่บันทึกผมอ่านไปได้เพียง 20% ของเล่มเท่านั้นเอง แต่หลายๆ อย่างชวนให้ชื่นชอบแง่มุมความคิดของนักเขียนทั่นนี้เอาการ มีโอกาสศึกหาหาข้อมูลงานเขียนของท่าน จึงได้ทราบว่า ท่านเสียชีวิตแล้ว อย่างไรก็ตาม งานเขียนของท่านก็ยังคงอยู่ และผมคงจะติดตามผลงานเก่าๆ ของท่านมาอ่านอีก ท่านอายุมากกว่าผม แต่ก็ไม่มากจนเรียกว่าคนคนละยุกต์ มุมมองต่ออะไรหลายๆอย่าง ทำให้ผมสามารถระลึกถึงความทรงจำในวัยเด็กได้ ผมขอจดบันทึกรายชื่อหนังสือของท่านไว้ ณ ที่นี้ เพื่อหามีโอกาสพบเจอ ผมจะได้จำได้ว่า ผมยังอยากจะอ่านชีวิตของท่าน ผ่านหนังสือของท่าน ขอจงสู่สุขติ เทอญ

เรียงหนังสือและผลงาน
-ป่าน้ำค้าง (2532)
-สะพานขาด (2534)
-คนใบเลี้ยงเดี่ยว (2535)
-แผ่นดินอื่น (2539)
-บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร (2544)
-ยามเช้าของชีวิต (2546) **
-โลกหมุนรอบตัวเอง (2548)

Thursday, September 21, 2006

เห็นเค้าเขียน เลยอยากเขียนบ้าง ก็เท่านั้น

ความห่วงใย อาจเชื่อได้ ในแววตา
คำสัญญา อาจเชื่อได้ ในน้ำเสียง
ความจริงใจ อาจจะไม่ต้องการ การเรียบเรียง
ใช้แค่เพียง "เวลา" พิสูจน์มัน ...

รัฐประหาร ด้วยรอยยิ้ม

ในช่วงชิวิตนึง ก็ได้มีโอกาสประสบเหตุการรัฐประหารที่อาจจะไม่เกิดขึ้นอีก หรือเกิดก็อาจจะไม่ใช่แบบนี้ เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจทีประชาชนแห่แหนไปถ่ายรูปกับรถถัง (โดยธรรมชาติ มันน่าจะแฝงไว้ด้วยความทะมึนและน่าเกรงขาม) เหตุการผ่านไปได้ด้วยดี ก็น่ายินดีด้วย นอกจากจะเป็นรั้วของชาติ ในยามสงครามแล้ว ในยามที่มีสภาพวะแตกแยกของประชาชน คราวที่ทหารเป็นรั้วชองประชาธิปไตยด้วย โชคดีแค่ไหน ที่ได้เกิดในประเทศนี้ ...

Monday, September 18, 2006

ทุกสถานการณ์มีทางออก

เมื่อถึงสภาวะคับขัน กดดันคุณด้วยอารมณ์โกรธเคือง ขุ่นหมอง ทางออกที่มองเห็นดูจะมุ่งไปทางเดียว คือ เข้าสู่สภาวะแตกหัก ไม่ว่าคู่กรณีจะทราบหรือไม่ทราบก็ตาม อาจจะเป็นการแตกหักระหว่างคุณกับเค้า โดยที่เค้าไม่อาจจะรู้ตัวแม้แต่น้อย แต่คุณเลือกที่จะไม่ยอมเข้าไปเจอสถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว ไม่ว่าในอนาคตมันจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ คุณก็ตัดสินใจไปแล้ว ไม่รู้เรื่องแบบนี้จะเยียวยาได้ด้วยเวลาหรือเปล่า ถ้ามีคนบอกว่าใจเย็นๆ มันต้องเย็นนานสักแค่ไหน? หนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ไม่รู้คุณเคยเป็นหรือเปล่า เหตุการณ์บางอย่างมันทำให้คุณตัดสินคนๆ นึงว่าเป็นคนอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น แล้วก็เชื่อว่าเค้าต้องเป็นคนอย่างนั้น ไม่รู้จะทำยังไง ปล่อยให้อารมณ์มันชักนำแล้วกัน ขี้เกียจคิดเข้าข้างคนโน้นคนนี้ ขี้เกียจเที่ยวหาเหตุผลให้คนโน้นคนนี้ เอาเป็นว่า ถ้ามันดีกับเรามันคือคนดี ถ้ามันทำให้เราแย่ก็อย่าไปยุ่งกับมัน ก็เท่านั้น เฮ้ออ ชีวิต ...

Friday, September 15, 2006

หนังสือที่น่าอ่าน

ไล่อ่านกระทู้จากพันทิบ พบว่าหนังสือสามเล่มนี้น่าในใจ จดไว้ก่อน พอเห็นเมื่อไหร่ คงได้มาครอบครอง :)

"หยุดความเลวที่..ไล่ล่าคุณ" ของ พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน
A walk to remember - แปลภาษาไทยโดยจิรนันท์ พิชปรีชาว่า "ก้าวรักในรอยจำ"
"ความสุขของกะทิ" โดย คุณงามพรรณ เวชชาชีวะ

Blog ร้าง

ไม่ใช่ไม่มีอะไรจะเขียน แต่ไม่รู้จะไปเขียนที่ไหนดี ไอ้ที่ไว้ให้ blog มันก็เยอะแยะหลากหลายที่ ช่วงนี้มีกิจกรรมใหม่สดๆ ซิงๆ คือการเป็นช่างภาพสมัครเล่น (แต่ก็จริงจังอยู่ไม่น้อย) ได้มาแล้วครับ Canon 350D ทำร่วงไปแล้วด้วย เห้อ ยังเป็นคนสะเพร่าอยู่ไม่หาย ถึงจะไม่ค่อยทำอะไรหายบ่อย แต่การปล่อยให้มันทรุดโทรมกับเรา บางทีให้เค้าไปหาสภาพแวดล้อมที่สดใสน่าจะดีกว่า อ้าวว .. ไปเรื่องนั้นจนได้ ...

Sunday, July 23, 2006

Not Secret

เมื่อวานไปเดินดูแผ่น DVD (ที่ถูกลิขสิืทธิ์) อยากได้คอนเสิร์ตอัสนีย์วสันต์ 20 ปี มาประดับตู้ ด้วยความที่ชื่นชอบพี่น้องคู่นี้เป็นทุนเดิม หรือด้วยความที่ว่าอะไรที่เป็นของคนไทย อยากช่วยสนับสนุน ไม่นึกว่าแผ่นก๊อปปี้ก็มีออกมาแล้ว วางขายร้านตรงข้ามกันเลย เปิด preview ให้ดูเหมือนกันอีกต่างหาก เห็นแล้วก็ละเหี่ยใจพิลึก ถึงไม่ได้มีส่วนได้เสียกับพี่น้องคู่นี้ หรือค่ายเพลงนี้ก็ตาม แต่ก็ตะหงิดใจเล็กน้อย หรือนี่เป็นเหตุผลที่เรา้ไม่ค่อยอยากทำอะไรใหม่ๆ ที่เราคิดว่า(น่าจะ)ยังไม่เคยมีใครทำ เพราะเราอาจจะคิดว่า ทำไปแล้วใครจะไปซื้อ หรือนี่คือนิสัยที่ฝังรากลึกกลายเป็นสันดานของพวกเรากันไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าซื้อของก๊อปจากฝรั่งแล้วจะเป็นเรื่องดีกว่า แต่อย่างน้อยเราก็น่าจะให้เกียจคนที่มีเชื้อชาติในบัตรประชาชนเหมือนกันกับเราน่าจะดีกว่านะ ผมว่า ..

Tuesday, June 13, 2006

ขนาด pixel ของกล้องกับการอัดรูป (หรือ print รูป)

โดยทั่วไป printer ทำงานที่ 300 DPI (Dot per pixel)
สมมุติต้องการภาพขนาด 4x6 นิ้ว
จำนวน pixel ที่ต้องการคือ (4x300) + (6x300) = 1200 + 1800 = 3,000,000 หรือ 3MP.

** หมายความว่ากล้องขนาด 3 ล้าน pixel ก็ใช้อัดภาพ 4x5 นิ้วได้สวยงาม แล้วครับ

** แล้วกล้อง 6 ล้าน pixel จะเอาไปอัดได้ขนาดเท่าไหร่
หาได้โดยสูตรนี้ครับ
ความยาวของภาพ = 4 x (รากที่ 2 ของ จำนวน pixel)
= 4 x (รากที่ 2 ของ 6)
= 4 * 2.45 = 9.8 นิ้ว

** ลองเทียบกับ 8 ล้าน pixel
4 x (รากที่ 2 ของ 8)
= 11.3 นิ้ว

ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจที่จำนวน pixel ที่มากกว่าเพียงอย่างเดียว เพราะ คุณอาจจะไม่ได้อัดภาพใหญ่ขนาดนั้นบ่อย

Tuesday, April 18, 2006

Advanced Search

Database Instance Goes Down While Using Dblink Ora-2068
--

Do the following while connected as sysdba.
Please keep a spool of the output.



The procedure you are adopting is to clean up stranded 2pc entries in the database. Stranded entries means RECO process is not able to clean up the entries even after failure due to some reason and In which ever database you are doing it identify the local_tran_id from dba_2pc_pending and use the procedure to purge it The below steps would resolve the issue and you can commant out the

1. select * from dba_2pc_pending;


2. alter system disable distributed recovery ;

3. alter system set "_smu_debug_mode" = 4 SCOPE=SPFILE SID='*'; and restart the instance for oracle 10G

4. execute DBMS_TRANSACTION.PURGE_LOST_DB_ENTRY('');
5. select * from dba_2pc_pending;
6. alter system enable distributed recovery;

Thursday, March 30, 2006

Ebola(enlighten) :: สิ่งที่ฉันเป็น

เป็นแค่หนึ่งคนนี้
ที่รู้ดีกับหนทางของใจ
เป็นแค่หนึ่งคนนี้
ที่รู้ตัวว่าไม่ดีเหมือนใคร

อยู่กับความเป็นจริงกับสิ่งที่เป็นไป

เธอก็หนึ่งคนนั้น
ที่หวีงดีให้ชั้นเป็นเหมือนใคร
เธอก็อยู่ตรงนี้
แต่ว่าเราช่างเหมือนไกลแสนไกล

ที่สุดต้องลากัน เจ็บปวดแจ่จำใจ

ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเคยผูกพันได้ร่วมทางกัน จนสุดหนทาง
จากกันวันนี้เธอคงผิดหวังแต่ดีกว่าต้องทรมานกับสิ่งที่ฉันเป็น

ที่สุดต้องลากัน เจ็บปวดแจ่จำใจ

ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเคยผูกพันได้ร่วมทางกัน จนสุดหนทาง
จากกันวันนี้เธอคงผิดหวังแต่ดีกว่าต้องทรมานกับสิ่งที่ฉันเป็น

แล้วจะเข้าใจ

Tuesday, March 28, 2006

Design Pattern (อีกแล้วครับท่าน)

Pattern คือรูปแบบอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จนเราจับไต๋มันได้
อาจจะเรียกว่าอ่านเกมส์ออกว่ามาแบบนี้ ต่อไปจะเป็นแบบไหน Design Pattern ก็คือรูปแบบการเขียนโปรแกรมเพื่อแก้ปัญหาอย่างใดอย่างนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่ค่อยข้างจะ เกิดขึ้นบ่อย และมีรูปแบบการแก้ปัญหาด้วยวิธีการเขียนโปรแกรมเดิมๆ ดังนั้น ถ้าเรารู้ได้ว่าDesign Pattern ไหน ใช้แก้ปัญหาลักษณะไหน จะทำให้เราเขียนโปรแกรมได้ดี และค่อนข้างจะมี ลักการณ์ โดย Design Pattern ใน java เอง มี 23 รูปแบบ แต่ก็แบ่งออก
เป็นกลุ่มๆ ดังนี้

1. Creational Patterns
2. Structural Patterns
3. Behavioral Patterns

“Design patterns are recurring solutions to design problems.”

Sunday, March 26, 2006

Singleton Design Pattern

รูปแบบการเขียนโปรแกรม ก็เป็นเงื่อนไขในการแก้ปัญหาซ้ำซากได้ครับ การเลือกใช้ design pattern ให้เหมาะกับความต้องการก็จะลดเวลาในการมาปวดหัวกับปัญหาจุกจิกได้พอสมควร Singleton คือรูปแบบที่ใช้กับ class หรือ object ที่เราต้องการให้มันเกิดมาเพียง 1 instance เท่านั้น (อย่างเช่น database connection) เมื่อเรียกใช้งานมัน ก็จะเรียกใช้งานจาก instance เดิมๆ ดูตัวอย่างเลย

public class MySingleton {
private static final MySingleton INSTANCE = new MySingleton();
private MySingleton() { }
public static final MySingleton getInstance() { return INSTANCE; } }

/** * Ensure Singleton class */
private Object readResolve() throws ObjectStreamException { return INSTANCE; }


เวลาจะสร้าง instance ต้องสร้างผ่าน getInstance() เช่นMySingleton s = MySingleton.getInstance();
** ไม่ต้องมี new เพราะ getInstance() เป็น static mehod **

Thursday, March 23, 2006

เมื่อความเบื่อมาเยือน

เคยไหมมีอะไรที่น่าทำให้ทำเยอะไปหมด แต่ความเบื่อกับอะไรบางอย่างทำให้กองมันไว้ เบื่อไปหมด คนรอบข้องเบื่อตัวเอง กระทั่งเบื่อชีวิต ..

Monday, January 30, 2006

หยุดตรุษจีน

ตั้งแต่ทำงานมา ก็พึ่งจะได้มีวันหยุดตรุษจีนกับเค้าก็คราวนี้แหละ
ถ้าอยู่แถวบ้านคงได้กินไก่เป็ดหมู หรือขนมเข่งขนมเทียนกับเพียบ
เพราะข้างบ้านผมคนจีนทั้งนั้น มีครอบครัวผมและญาติ กระมัง
ที่ไม่ได้มีเชื้อสายจีน วันหยุดที่เพื่อนๆ ไม่ได้หยุดกันเนี้ยมันน่าเบื่อพิลึก
นั่งๆ นอนๆ ฟังเพลง อ่านหนังสือ (อ่าน Paraside Eve จบเสียที
หลังจากคาราคาซังมานาน) หยิบ DVD Hero มาดูอีกรอบ (เป็นเรื่อง
ของมือสังหารคนนึงพยายามจะไปสังหารห้องเต้ราชวงชิน แต่เค้าต้องพ่ายแพ้
ต่อความจริงที่ว่าสันติสุขจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการสูญเสีย ผมดูมามากว่าหนึ่งรอบ
แล้ว หนังส่วนใหญ่ที่มี่ DVD จะไม่ได้ดูเพียงรอบเดียว) วันนี้มันเหงาพิลึก
วนเวียนหาอะไรทำก็ไม่หมดวันไปซะที ไม่ได้แล้ว ต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียที
เอกสาร Java, Oracle มีตุนไว้ให้อ่านอีกเพียบ จนวันนี้ก็ยังไม่หายอาวรถึงคน
ที่ไม่ควรจะคิดถึง เห้อชีวิต อ่อนแออย่างเหลือเชื่อ ...

Tuesday, January 03, 2006

ช่องว่างระหว่างความเป็นเพื่อน

Not Secret
เรื่องชองความเกรงใจระหว่างเพื่อนช่างเป็นอะไรที่ล่อแหลมซะเหลือเกิน
ถ้าคุณมีเพื่อนและเพื่อนคุณมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้คุณไม่ค่อยชอบ คุณจะเลือก
ที่จะบอกเค้าว่าเราไม่ชอบ หรือคุณจะปล่อยผ่านมองข้ามเรื่องที่เล็กน้อย (
บางครั้งมันอาจจะดูเล็กน้อย แต่สำหรับคุณมันอาจจะไม่น้อยก็ได้) เห็นแก่
เวลาที่คบกันมานาน เรื่องแค่นี้เพื่อรักษาความเป็นเพื่อนไว้ ไม่บอกดีกว่า
มุมมองของผม ด้วยความเป็นเพื่อนนี้แหละที่เราควรจะบอกเค้าออกไป
เรื่องพวกนี้คนอื่นๆ อาจจะมองข้ามไป แต่เค้าเป็นเพื่อนคุณคุณต้องลอกเค้าสิ
เมื่อมีรอยร้าวคุณจะเป็นคนแจ้งว่าคุณพบรอยเร้าบางอย่าง หรือเลือกที่จะ
ปล่อยมันไป มันอาจจะไม่เป็นไร หรือไม่มันก็แตกเข้าสักวันนึง ผลที่ได้รับ
สำหรับผมกรณีนี้คือความหมางเมินและเฉยชา มันช่างเป็นอะไรที่กระทบ
ความรู้สึกของคนที่ถูกบอก และคนที่เป็นคนบอก จริงๆ เล้ยย..