Sunday, April 27, 2008

The Pursuit Of Happyness

หนังอัตถชิวประวัติของ Chris Gardnet เขาคืนคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต (เรียกว่าร่ำรวย ง่ายกว่า) โดยสวนตัวผมชอบดูอะไรทีมัน Happy Ending หนังที่สุดท้ายพระเอกได้พบรักกับนางเอกอยู่กันอย่างมีความสุข หรือไม่ก็การฝ่าฟันที่ลงท้ายด้วยความสำเร็จ ความจริงคือผมไม่ชอบเรื่องเศร้าหรือความผิดหวังไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมเกรงกลัวหรือขยาดที่จะไม่ทำอะไร เพราะกลัวว่าท้ายที่สุดมันต้องผิดหวัง เพราะแท้จริงแล้วความผิดหวังมันก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป มันอาจจะทำให้เราร้องไห้ ท้อแท้ แต่ท้ายที่สุดมันก็ต้องผ่านพ้นไปได้เอง และเรื่องทุกเรื่องมันก็ไม่ได้จำเป็นต้องจบด้วยความผิดหวังเสมอไป ในเส้นทางที่มุ่งไป คุณทำมันเต็มที่หรือยัง คุณใช้สักยภาพที่มีอยู่เต็มที่ไหม คุณปรับเปลี่ยนแก้ไขข้อบกพร่องได้มากน้อยเพียงใด ชีวิตมันไม่ได้มีดีที่สุดและก็แย่ที่สุดเสมอ ชีวิตมันไม่เคยมีสุดขั้ว ขณะที่คุณยิ้มในใจคุณคิดอะไร ไม่มีใครรู้ นอกเสียจากตัวคุณเอง ผมอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยมองโลกในแง่ร้าย อะไรจะร้ายหรือดีมันอยู่ที่มุมมอง หนังเรื่องนี้มีประโยคนึงบอกว่า "ความสุขมันเป็นอะไรที่เราได้แต่ไขว่คว้า แต่ไม่เคยได้มันมา" แต่ตัวละครก็ไม่เคยท้อแท้กับการไขว้คว้านั้น เมื่อชีวิตคือการค้นหาที่ไม่จำเป็นต้องเจอ ก็จงสนุกกับการค้นหานั้น สนุกับการใช้ชิวิต สนุกกับทุกข์เส้นทางระหว่างการค้นหา เมื่อถึงจุดเปลี่ยนที่ต้องตัดสินใจ ไม่ว่าจะร้ายหรือดีกับใคร ขอให้เลือกสิ่งที่มันดีสำหรับคุณ โอกาสนั้นเป็นของคุณเสมอ

Sunday, April 20, 2008

ความเหงาสีอะไรกันนะ

มีคนถามผมว่าความเหงาสีอะไร ผมบอกว่ามันเป็นสีเทา เค้าถามต่อว่าทำไมถึงคิดว่าความเหงาเป็นสีเทา ผมบอกว่าเพราะมันเป็นส่วนผสมของสีขาวและดำมันจึงเป็นสีเทา เค้าถามผมว่าแล้วต้องสีขาวเท่าไหร่ หรือสีดำเท่าไหร่ ถึงจะได้สีเทา ที่เท่ากับความเหงา ผมบอกว่าส่วนผสมมันไม่แน่นอน แต่มันก็ได้ผลออกมาเป็นความเหงาเหมือนกัน ความเหงาบางช่วงมันก็เจือไปด้วยสีดำมากหน่อย บางครั้งก็เต็มไปด้วยสีขาว ถ้าเราโดนทิ้งให้เหงามันก็จะดำเยอะหน่อย แต่ถ้าเราเหงาเพราะคิดถึงใคร อย่างนี้สีขาวจะเยอะ เค้าถามผมว่าผมรู้ได้ไง ผมบอกว่าผมรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น ที่ผมบอกเค้าไปมันเป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมคนเดียว ไม่สามารถเอาไปอ้างอิงที่ไหนได้ เค้าบอกว่าไม่เป็นไร เค้าแค่อยากรู้ว่าผมคิดอย่างไรเท่านั้นแหละ เค้าถามผมว่าผมรู้มั๊ยว่าโลกใบนี้มันไม่ได้มีแค่สีขาวกับดำ ผมตอบไปว่าผมรู้ อีกสีก็สีเทาไง เค้าส่ายหน้าแล้วบอกว่าผมใช้สีน้อยไปสำหรับการนิยามเรื่องพวกนี้ ทำไมต้องมีแค่ขาวกับดำเมื่อเราเปรียบเทียบของสองสิ่ง ทำไมต้องมีแค่มืดกับสว่างเมื่อเราอ้างอิงถึงความดีกับความเลว เค้าถามผมว่ารู้มั๊ยว่ามีสีฟ้าด้วย ผมตอบว่ามันก็คือสีของท้องฟ้า หรือท้องทะเลไง เค้าบอกว่า รู้มั๊ยว่าแสงสีฟ้า ก็เกิดจากการผสมของแสงสีเขียวกับแสงสีน้ำเงิน ผมบอกไม่รู้ ผมถามเค้าว่าเค้าต้องการบอกอะไรผม เค้าบอกว่าจริงๆ โลกนี้มันมีสีตั้งหลายสี แม้แต่ความเหงา ความเศร้าหรือหม่นหมอง มันก็อาจจะเป็นสีฟ้า สีเขียว สีแดงก็ได้ เค้าบอกว่าเวลาเค้าเหงา ไม่ว่าสีอะไรมันก็เหงาทั้งนั้นแหละ และแต่ละสีมันก็เกิดจาส่วนผสมของสีอื่นๆ สีขาวอาจจะทำให้สีแดงดูสดน้อยลง หรือบางครั้งก็กลายเป็นสีชมพูด้วยซ้ำ ผมว่ามันก็จริง แล้วเค้าต้องการบอกอะไรผม ผมถามซ้ำ เค้าบอกว่าที่เค้าต้องการบอกผม เค้าบอกไปแล้ว ...

Tuesday, April 15, 2008

หนึ่งวันดีๆ

วันดีๆ ที่มีคุณค่าควรแก่การจดจำมันอาจจะมีเป็นทุกวันที่มีประกายเล็กๆ ซ่อนไว้ เมื่อเวลาผ่านพ้นไปเราอาจจะจำไม่ได้ว่ามันคือวันไหน แต่ประกายเล็กๆ ที่ส่องแสงสดใสโดดเด่นถ้าเป็นประกายเช่นนี้ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเราคงไม่ลืม เมื่อเรานึกย้อนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบางครั้งเหตุการณ์มันจะนำความทรงจำของวันที่ ออกมาเอง เหมือนเรานึกถึงความสนุกในวันเกิดเพื่อนคนนึง เราก็จะจำได้ว่ามันคือวันที่เท่าไหร่ตามปฏิทิน ถึงแม้เราอาจจะจำไม่ได้ว่ามัน พศ. อะไรกันแน่ เหตุการณ์ที่เกิดโดยมีผู้ร่วมเหตุการณ์มากกว่า 1 คนจะมีข้อดีมากกว่า เพราะเมื่อเราได้มีโอกาสระลึกถึงเหตุการณ์นั้นร่วมกัน ความทรงจำของเราจะถูกคลุกเคล้ากับความทรงจำของคนข้างๆ กลายเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์มากขึ้น ความเป็นจริงๆ ก็คือคนสองหรือมากกว่า แม้จะเห็นในสิ่งเดียวกันแต่ก็ไม่อาจจะเข้าใจและเก็บรายละเอียดที่เหมือนกันทั้งหมดได้ นี่แหละมั๊งเสน่ห์ของมัน เสน่ห์ของการมีเพื่อนร่วมทาง...

เราอยากจะเขียนถึงความทรงจำในวันวาน แต่เราไม่สามารถที่จะเขียนออกมาเป็นข้อความได้ แม้วันนี้ภาพนั้นมันก็ยังแจ่มชัดในความทรงจำ ถ้าเราไม่เขียนไว้ในตอนนี้เป็นไปได้มั๊ยที่เราจะลืม เมื่ออนาคตคือความไม่แน่นนอนเราก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเราจะลืมหรือไม่ลืม แต่ถ้าเราลืมมันไป ถึงแม้ได้กลับอ่านข้อความที่บันทึกไว้ มันก็ยากที่จะดึงความรู้สึกต่อเหตุการณ์กลับมาได้เหมือนเดิม ถ้าเราลืมมัน ไม่ได้หมายความว่าเราลืมเพียงแค่เรื่องเราที่เกิดขึ้น แต่หมายถึงเราลืมความรู้สึกดีๆ เหล่าไปนั้นต่างหาก

เราเลือกที่จะไม่บันทึกรายละเอียดไม่ใช่เผื่อไว้สำหรับลืม แต่เรามั่นใจในความทรงจำของเราต่างหาก แต่กระนั้นเราก็ยังมานั่งบันทึกข้อมูลแบบเฉียดไปเฉียดมา เพื่อการประติดประต่อเรื่องราวเท่านั้นเองจริงๆ ...

Saturday, April 12, 2008

เมื่อนึกย้อนกลับไป ก็ไม่รู้จะขอบคุณมันยังไง

ในชิวิตเรามันเรื่องอยู่แค่ 2 เรื่องเท่านั้นแหละ คือเรื่องที่เราควบคุมได้ และเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ เราจะรู้ว่าเรื่องที่ว่ามันจะเป็นเรื่องไหน ก็ต่อเมื่อเราเริ่มจะควบคุมมัน แต่บางครั้งถ้าเราปล่อยวาง ปล่อยให้มันลองลอยไร้สภาพการควบคุม เราก็จะไม่ได้นึกถึงว่า มันควบคุมได้ไหม ทีนี้พอเรื่องมัน ล่องลอยสักพัก เราจะเริ่มจับทิศทางของมันได้ แต่จะเปลี่ยนไปทันที ที่เราเริ่มจะไปควบคุมอีกครั้ง
เส้นทางที่คุ้น มันก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงใหม่ ทฤษฎีของเราคือ เราจะไม่ไปควบคุมมัน แต่จะเริ่มจาก การควบคุมตัวเอง เพื่อให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของมัน เมื่อสองสิ่งเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน แรงในตอนนั้นน่าจะเรียกว่าแรงเหวี่ยงรักษาสภาพการโคจร ถ้าเราใช้เวลากับวงโคจรนี้นานพอ จากนั้นเราจะเริ่มควมคุมมันได้ ไม่ได้หมายความถึงการควบคุมสิ่งนั้นนะ แต่หมายถึงการควบคุม
ตัวแปรต่างๆ เพื่อให้สภาพวงโคจรมันยังคงอยู่ และถ้าเราใช้เวลาในการเก็บตัวแปรได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะรักษาวงโครจรได้นานมากขึ้นเท่านั้น

แน่นอนในหนึ่งช่วงชิวิต เราอาจจะมีโอกาสไปอยู่ในหลายๆ วงโคจรที่มีตัวแปรแตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน และไม่สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้ แต่ทุกครั้งมันเกิดการเรียนรู้ เราดีขึ้นเสมอ เราได้รับการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือแม้กระทั่งโอกาสได้เจอสิ่งใหม่ๆ ถ้ามีพรให้เรากลับไปแก้ไขอะไรก็ได้ในอดีต เราจะไปแก้ไหม คำตอบคงเป็นไม่ เราพอใจกับทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามา กับทุกคนๆ ที่ได้มีโอกาสพบเจอ แม้นมันจะดีบ้างไม่ดีบ้าง มันก็ล้วนเป็นความทรงจำให้นึกถึงเสมอ ถ้ามันแย่เราต้องทำให้มันดี หรือไม่ก็อย่าทำมัน ถ้ามันดีเรายังมีสิทธิ์ทำให้มันดีกว่านั้น โอกาสในตอนนี้มันยังเป็นของเราเสมอ นั่นต่างหากคือสิ่งที่เราต้องคิดว่าจะทำหรือไม่ทำมัน

"เมื่อนึกย้อนกลับไป ก็ไม่รู้จะขอบคุณมันยังไง"

Thursday, April 10, 2008

You've got the message.

-- ไอ้เราก็กลัวเค้าจะรู้สึกไม่ดี ครั้นจะไปถามไถ่ถึงเรื่องราวที่ราวได้ไปสารภาพไปกับเค้าทาง email มันคงน่าจะเป็นวิสัยของคนทั่วไป แต่เรากลับกลัวว่าการไปคะยั้นคะยอ มันก็จะทำให้เกิดความรำคาญ ถ้ามันมากไปกว่าเพื่อนไม่ได้ เราก็ไม่อยากให้มันแย่กว่านั้น ยังมีความขลาดอย่างแสนสาหัส แต่ก็ยังกล้าที่จะบอกความรู้สึกออกไป

-- เรานึกเรื่องของหนุ่มสาวคู่นึงที่คบหาพูดคุยกันมาพอสมควร แต่ต่างฝ่ายก็ต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนึงคิดกับตัวเองอย่างไร ฝ่ายชายกำความรู้สึกของตัวเองไว้ด้วยมือข้างซ้าย ส่วนข้างขวากำความคาดหวังไว้หลวมๆ ส่วนฝ่ายหญิงนั้นสุดจะคาดเดาได้ เวลาผ่านไปนาน นานจนเค้ารู้สึกว่าเค้าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้สิ่งที่อยู่ในมือขวามันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา หรือไม่ถ้าหากมันเป็นเพียงอากาศก็จะได้แบมือและปลดปล่อยให้มือขวาได้ผ่อนคลายจากสภาพนั้นบ้าง เค้าบรรจงเขียนจดหมายบรรยายความรู้สึกที่มีต่อหญิงคนนั้นพับไว้อย่างดี แล้วก็แทรกไว้ในหนังสือเล่มนึงบนโต๊ะเธอ เค้ารู้ว่ามันเป็นหนังสือที่เธอชอบอ่าน และเฝ้าสังเกตว่าเธอได้หยิบหนังสือเล่มนั้นติดมือไปหรือยัง วันนึงเค้าสังเกตเห็นว่าหนังสือเล่มนั้นมันหายไปจากโต๊ะเธอแล้ว เค้าเริ่มกลัวกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น เค้ากลัวความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันอย่างเพื่อนมันจะบั่นทอนลงไป ... เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง เค้าก็ต้องแปลกใจเพราะทุกอย่างระหว่างเค้ากับเธอมันเหมือนเดิม เธอยังมีไมตรีและพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับเขา ตอนนี้มือข้างขวาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังมันเริ่มคลายตัวออกแล้ว แต่ความรู้สึกดีๆ ในมือข้างซ้ายมันก็ยังคงอยู่ เค้าไม่ได้ถามถึงความรู้สึกต่อจดหมายฉบับนั้น เธอก็ไม่เคยเอ่ยถึงมันเช่นเดียวกันจน เวลาผ่านไปอาทิตย์กว่าๆ เธอได้ส่งข้อความมาบอกเค้าว่า เธอได้อ่านมันแล้ว ด้วยความบังเอิญระหว่างเปิดหนังสือเล่มนั้นมีกระดาษแผ่นนึงล่วงหล่นลงมา แล้วเธอตอบกลับใปในกระดาษอีกแผ่นในหนังสือเล่มเดียวกันและวางไว้ที่โต๊ะเขา..

-- เมื่อเช้าระะหว่างที่กำลังรอรถเมล์ หยิบโทรศัพท์มาดู มีข้อความ 1 ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน ดูชื่อคนส่งแล้วใจสั่นพิกลแฮะ ข้อความบอกว่า มีข้อความอีกข้อความนึง ได้ถูก post ไว้นะที่แห่งนึงแล้วนะ ...


-- วันนี้มันเป็นวันที่เรามาถึง office ช้ามาก ทั้งๆ ที่ก็ใช้เวลาเท่าเดิม และถึงในเวลาเดิม