Thursday, November 30, 2006
แกะกรุ postcard
มีโอกาศไปหยิบ postcard เก่าๆ ที่เคยได้รับมาอ่าน มีความสุขดี ความสุขตอนที่ได้รับมันเหมือนไม่ได้เก่าตามสภาพของ postcard เลย คิดถึงคนเขียนขึ้นมาตะหงิดๆ ผมจะเขียน postcard ไปหาคุณแน่เร็วๆ นี้ ขอบคุณครับสำหรับความรู้สึกดีๆ แม้นวันนี้จะเป็นอย่างไร วันนั้น มันก็เป็นห้วงเวลาแห่งความทรงจำของผมเสมอ ...
Tuesday, November 28, 2006
เรื่องของคนใกล้ตัว
อันว่าคนใกล้ตัวแล้ว ไอ้เรื่องเค้าไม่เกี่ยวกับเรานี่มันดูท่าจะเป็นไปได้ยาก เรื่องราวของความรักยามสุขก็ล้นเหลือ ยามเศร้าก็ทำความรู้สึกดำดิ่งดั่งบ่อน้ำที่ไร้ก้น ทั้งคับแคบ เหงา เคว้งคว้างเหมือนดั่งไร้หนทาง คุณจะทำยังไง ถ้าวันนึงคุณไปพอว่าคนที่คุณรัก แล้วเค้าก็อ้างว่ารักคุณ แต่เค้ากลับมีอีกคนนึง ที่คุณไม่รู้ หรือรู้แต่ก็ไม่ทันได้สังเกตว่ามีอะไรผิดปกติ จนวันนึงมันมีเหตการณ์ทำให้คุณทราบข้อมูลที่สามารถจะโยงใยเรื่องราวเหล่านั้นเข้าเป็นเรื่องเดียวกัน ในเรื่องลักษณะนี้ผมยังทึ่งในความสามารถของผู้หญิงหลายๆ คน เธอสามารถที่จะเอาเรื่อง(ที่เราคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่อง) มาผูกต่อขยายความเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ ต่างกันกับผู้ชายที่มักจะเอาเรื่องที่ควรจะเป็นเรื่อง เก็บไว้ในใจ กลายเป็นผู้ชายเงียบงันไม่เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา เคยลองคุยๆ กับเพื่อนฝูงที่เคยประสบปัญหารักไม่ถึงปลายทาง ต่างก็ยอมรับว่าแต่ละคนก็มีจุดที่ยังไม่ได้ปรับจูนให้เข้ากัน คุยไปคุยมาอยากจะสรุปว่าความรักมันทำให้เราดีขึ้นทุกครั้ง เราจะมีการปรับนิสัยบางอย่างเพื่อให้มั่นใจว่ารักครั้งใหม่มันจะดีหรือสวยงาม จนเราลืมไปว่าความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคน และความรักแต่ละครั้งมันก็อยู่ภายใต้เงื่อนไข ของแต่ละคู่ซึ่งอาจจะไม่เหมือนกัน ความรักในมุมมองของผมคงเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกชั่วขณะที่ความรักยังคงดำเนินอยู่ ...
Tuesday, November 21, 2006
Live: เรื่องเศร้าชองความรัก
ปัญหาของความรักก็คือรักเค้ามากเกินไปจากห่วงก็กลายเป็นหวง มันยากจริงๆ เรื่องของจิตใจ คนเราต้องช้ำรักสักกี่ครั้งถึงจะได้มีความสุขกับมันจนถึงบั้นปลายแห่งชีวิต โดยเฉพาะกับสังคมเมืองหลวงที่แสนจะวุ่ยวายหลากหลาย มันเฝ้าลับชิวีตจิตใจของคนในสังคมให้เต็มไปด้วยแหลมคม เหลี่ยมมุม ขอบอันแหลมคมพร้อมที่จะเชือดเฉือนใครก็ตามที่เข้าใกล้ มีเบื่องหน้าเบื้องหลังตลอด อยู่ด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ระแวงในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ปัญหาที่เกิดกับคนรอบข้างเป็นไปได้ยากที่จะไม่กระทบมาถึงจิตใจเรา ฉันต้องร้องไห้เป็นเพื่อนแกหรือเปล่า เปล่าเลย ฉันไม่ร้องไห้ให้แกเห็นหรอก น้ำตาฉันมันสูงค่าเกินกว่าจะให้แกเห็น มันไหลย้อนเข้าไปในจิตใจฉันต่างหาก ฉันรู้จักแกดี ฉันถึงรู้ว่าคำปลอบโยนของฉันมันคงไม่ได้ช่วยอะไรแกได้สักเท่าไหร่ แต่ปัญหาของแกมันก็กระจายความอึดอัดไปสู่ผู้คนรอบๆ เพื่อนเอ๋ยชิวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ มีสุขทุกข์เศร้าสมหวังบ้างในกาลเวลาที่ผ่าน มันคือความทรงจำ มันคือรอยชองชิวิต มันไม่หนักเกินกว่าที่เราจะฝ่าฟันไปหรอก แล้วมันนึง ณ ที่แห่งนึง เราจะยิ้มและหัวเราะกับสิ่งที่เราทำในวันนี้ อยากให้แกผ่านไปถึงที่ตรงนั้นเร็วๆ แล้วกันนะ ..
Monday, November 20, 2006
Live: เืบื่อตัวเอง กับงานที่ไม่เสร็จซะที
ในแต่ละวันมันก็ไม่ได้มีเรื่องหลักๆ อะไรให้เลือกทำมากมาย ผมยังเป็นคนที่ มีกิเลสอยู่มาก มากจนเลือกที่จะทำในสิ่งที่อยากทำ มากกว่าในสิ่งที่ต้องทำ ด้วยข้ออ้างทั่วไป 'ทำแล้วมีความสุขก็ทำ' ถึงเวลาที่ต้องกลับมาถามตัวเองแล้วว่า แล้วไอ้เรื่องที่มันเป็นภาระความรับผิดชอบ ทำไมไม่ทำ หรือเพราะตอนทำไม่รู้ว่ามันจะทำไปแล้วไม่มีความสุข พอเริ่มไม่มีความสุขก็ทิ้งขว้างมันไป หรือวางเก็บไว้ ชั่งเป็นคนที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย เพราะงานที่ได้รับปากใครไว้แล้วมันคืองานที่มีความผูกพันธ์ ต้องทำให้เสร็จ เพราะผลสำเร็จมันไม่ได้เป็นผลเฉพาะแก่ตัวเรา แต่มันยังเกี่ยวเนื่องด้วยบุคคลที่ผูกพันธ์กับงานชิ้นนั้นเขียนไว้เพื่อนตระหนักถึงสิ่งที่ต้องทำ เราอาจจะเลือกทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ แต่บางครั้งเราก็ต้องทำสิ่งที่เราเลือกไปแล้วให้มันสำเร็จเสร็จสิ้นไปเหมือนกัน แม้นภายหลัง เราอาจจะมองว่ามันเป็นสิ่งน่าเบื่อก็ตามที
ช่วงนี้เกิดอาการฝันถึงใครคนนึงซ้ำซากอีกแล้ว ไปแอบชอบเค้าอีกแล้วตรู ความสุขของการแอบชอบชาวบ้านมันก็มีความสุขดีหว่ะ ถึงเค้าไม่ได้คิดอะไรกับเรา แต่เราก็มีความสุขในการได้เจอ ได้พูดคุย ได้สังเกตุอากัปกิริยา หุหุ อยากลองเขียนเรื่องสั้นสักเรื่อง (เรื่อยเปลื่อยแล้วตรู)
ช่วงนี้เกิดอาการฝันถึงใครคนนึงซ้ำซากอีกแล้ว ไปแอบชอบเค้าอีกแล้วตรู ความสุขของการแอบชอบชาวบ้านมันก็มีความสุขดีหว่ะ ถึงเค้าไม่ได้คิดอะไรกับเรา แต่เราก็มีความสุขในการได้เจอ ได้พูดคุย ได้สังเกตุอากัปกิริยา หุหุ อยากลองเขียนเรื่องสั้นสักเรื่อง (เรื่อยเปลื่อยแล้วตรู)
Friday, November 17, 2006
Live: OpenSource กับ รมต. กระทรวง ICT
ช่วงนี้กระแสชาว OpenSource ในประเทศผม (ประเทศไทย) คึกคักเป็นพิเศษ ก็อะไรซะอีกหล่ะครับ ก็ รมต. ว่ากาีรกระทรวง ICT ดันมาให้สัมภาษณ์ในเชิงไม่สนับสนุนวงการ OpenSource ซักเท่าไหร่ ถึงเลือดเนื้อผมเองจะไม่ได้ คลุกคลีกับวงการนี้มาก แต่ผมก็ได้ประโยชน์จาก OpenSource เต็มๆ โดยเฉพาะกับชีวิตและการงานที่พัฒนาจนถึงทุกวันนี้ ผมตัดมาให้ดูคร่าวๆ เพื่อการวิจารณ์จะได้มันมือ (ตัวผมเอง) มากขึ้น
'With open source, there is no intellectual property. Anyone can use it and all your ideas become public domain. If nobody can make money from it, there will be no development and open source software quickly becomes outdated... As a programmer, if I can write good code, why should I give it away? Thailand can do good source code without open source.'
อยากจะนึกเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตแบบเศรษฐกินพอเพียง สังคมที่เกื้อหนุน เอื้อเฟื้อ แม้กระทั่ง Source Code ซึ่งถ้าเป็นแม่ค้าน้ำพริก มันก็คือสูตรการทำน้ำพริดรสเด็ดนั่นเองครับ ถ้าเป็นแม่ค้าเค้าไม่บอกสูตรคุณหรอกครับ เพราะมันสำคัญกับการค้าขายของเค้า แต่ถ้าเป็นเพื่อนเค้าให้คุณไปดูเค้าทำได้ถึงในครัวด้วยซ้ำ แถมยังอาจจะกำชับด้วยซ้ำว่า 'วันไหนลงมือทำ อย่าลืมเอามาให้ชิมด้วยนะ' นึกให้เกิดการเปรียบเทียบกับเนื้อหาในคำพูดของท่าน 'As a programmer, if I can write good code, why should I give it away?' มันความคิดของระบบทุนนิยมจ๋าเลยนี้น่า กระผมเองไม่ใช้พวกฝักใฝ่การเมืองสักเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้จักพวกทุนนิยม สังคมนิยม ประชานิยม บ้าง ผมเองไม่รู้จักท่านมาก่อนหน้า แม้นในวันนี้ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าท่านด้วยซ้ำ ไม่ว่าผ่านสื่อใดๆ ผมอาจจะไม่กว้างขวางรอบรู้โดยเฉพาะในสิ่งที่ผมไม่สนใจ แต่ผมก็ไปไม่เคยปรามาสใครในสิ่งที่ผมไม่รู้ ผมไม่รู้ด้วยว่าท่านรู้จักวงการ OpenSource ดีแค่ไหน เพียงแต่ผมรู้สึกเสียใจ ที่วิสัยทัศน์ของท่าน มันทำให้ผมมองไม่เป็นอนาคต IT ของประเทศนี้ด้วยซ้ำ
** ท่านเข้าใจคำสอนอันประเสริฐประโยคสั้นๆ ที่ว่า 'เศรฐกิจพอเพียง' ดีแค่ไหนครับ แต่ผมคิดว่า ผมกับท่านอาจจะคิดไม่เหมือนกัน **
'With open source, there is no intellectual property. Anyone can use it and all your ideas become public domain. If nobody can make money from it, there will be no development and open source software quickly becomes outdated... As a programmer, if I can write good code, why should I give it away? Thailand can do good source code without open source.'
อยากจะนึกเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตแบบเศรษฐกินพอเพียง สังคมที่เกื้อหนุน เอื้อเฟื้อ แม้กระทั่ง Source Code ซึ่งถ้าเป็นแม่ค้าน้ำพริก มันก็คือสูตรการทำน้ำพริดรสเด็ดนั่นเองครับ ถ้าเป็นแม่ค้าเค้าไม่บอกสูตรคุณหรอกครับ เพราะมันสำคัญกับการค้าขายของเค้า แต่ถ้าเป็นเพื่อนเค้าให้คุณไปดูเค้าทำได้ถึงในครัวด้วยซ้ำ แถมยังอาจจะกำชับด้วยซ้ำว่า 'วันไหนลงมือทำ อย่าลืมเอามาให้ชิมด้วยนะ' นึกให้เกิดการเปรียบเทียบกับเนื้อหาในคำพูดของท่าน 'As a programmer, if I can write good code, why should I give it away?' มันความคิดของระบบทุนนิยมจ๋าเลยนี้น่า กระผมเองไม่ใช้พวกฝักใฝ่การเมืองสักเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้จักพวกทุนนิยม สังคมนิยม ประชานิยม บ้าง ผมเองไม่รู้จักท่านมาก่อนหน้า แม้นในวันนี้ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าท่านด้วยซ้ำ ไม่ว่าผ่านสื่อใดๆ ผมอาจจะไม่กว้างขวางรอบรู้โดยเฉพาะในสิ่งที่ผมไม่สนใจ แต่ผมก็ไปไม่เคยปรามาสใครในสิ่งที่ผมไม่รู้ ผมไม่รู้ด้วยว่าท่านรู้จักวงการ OpenSource ดีแค่ไหน เพียงแต่ผมรู้สึกเสียใจ ที่วิสัยทัศน์ของท่าน มันทำให้ผมมองไม่เป็นอนาคต IT ของประเทศนี้ด้วยซ้ำ
** ท่านเข้าใจคำสอนอันประเสริฐประโยคสั้นๆ ที่ว่า 'เศรฐกิจพอเพียง' ดีแค่ไหนครับ แต่ผมคิดว่า ผมกับท่านอาจจะคิดไม่เหมือนกัน **
Linux: SSL กับการ Gen Key
## เริ่มจาก CA
openssl req -x509 -newkey rsa:1024 -days 3650 -nodes -keyout private/cakey.pem -out certs/cacert.pem
## จากนั้นสร้าง Private Key กับ Request Key (เกิดอยากได้ Cert จากพวก Verisign)
openssl req -newkey rsa:1024 -nodes -keyout private/stunnel-key.pem -out requests/stunnel-req.pem
## สร้าง Cert เอง
openssl x509 -req -in requests/stunnel-req.pem -CA certs/cacert.pem -CAkey private/cakey.pem -out certs/stunnel.pem -days 3650 -CAserial ca.srl -CAcreateserial
เท่านี้แหละครับ พี่น้อง จำไม่ได้สักที ขอจดละกัน
openssl req -x509 -newkey rsa:1024 -days 3650 -nodes -keyout private/cakey.pem -out certs/cacert.pem
## จากนั้นสร้าง Private Key กับ Request Key (เกิดอยากได้ Cert จากพวก Verisign)
openssl req -newkey rsa:1024 -nodes -keyout private/stunnel-key.pem -out requests/stunnel-req.pem
## สร้าง Cert เอง
openssl x509 -req -in requests/stunnel-req.pem -CA certs/cacert.pem -CAkey private/cakey.pem -out certs/stunnel.pem -days 3650 -CAserial ca.srl -CAcreateserial
เท่านี้แหละครับ พี่น้อง จำไม่ได้สักที ขอจดละกัน
Thursday, November 16, 2006
Oracle: การ split จาก Table ธรรมดา เป็น Partition Table
- กรณีแรก table เดียว แตก partition ทำได้โดยการสร้าง table ที่มี field เหมือนเดิม แต่เพิ่มส่วนของ partition มา เช่น
create table new_table ( email_id, category, date_of_mail, name )
partition by range(date_of_mail)
(
partition jan2001 values less than ( to_date( '01-feb-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
partition feb2001 values less than ( to_date( '01-mar-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
partition mar2001 values less than ( to_date( '01-apr-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
...
partition sep2002 values less than ( to_date( '01-oct-2002', 'dd-mon-yyyy') ),
....
)
as
select * from category_date_wise_email;
// หลังจากนั้นก็ Drop table เดิมทิ้ง
drop table category_date_wise_email;
// Rename tables
rename new_table to category_date_wise_email;
- กรณี หลายๆ table มาเป็น table เดียว (ที่มี partition)
// สร้าง table ปลายทาง รูปแบบ partition tables
create table t( dt, OWNER, OBJECT_NAME,
SUBOBJECT_NAME,
OBJECT_ID, DATA_OBJECT_ID, OBJECT_TYPE, CREATED,
LAST_DDL_TIME, TIMESTAMP, STATUS, TEMPORARY,
GENERATED, SECONDARY )
partition by range(dt) (
partition part2000 values less than ( to_date( '01-jan-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
partition part2001 values less than ( to_date( '01-jan-2002', 'dd-mon-yyyy') ),
partition part2002 values less than ( to_date( '01-jan-2003', 'dd-mon-yyyy') )
)
as
select sysdate dt, all_objects.* from all_objects where 1=0;
// ย้าย table ย่อยเข้ามา (ตัวอย่าง ย้าย table t3 มาอยู่ใน Part2000 ของ table t)
alter table t
exchange partition part2000
with table t3
without validation
/
อ้างอิง: http://asktom.oracle.com/pls/ask/f?p=4950:8:::::F4950_P8_DISPLAYID:5532451667350
create table new_table ( email_id, category, date_of_mail, name )
partition by range(date_of_mail)
(
partition jan2001 values less than ( to_date( '01-feb-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
partition feb2001 values less than ( to_date( '01-mar-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
partition mar2001 values less than ( to_date( '01-apr-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
...
partition sep2002 values less than ( to_date( '01-oct-2002', 'dd-mon-yyyy') ),
....
)
as
select * from category_date_wise_email;
// หลังจากนั้นก็ Drop table เดิมทิ้ง
drop table category_date_wise_email;
// Rename tables
rename new_table to category_date_wise_email;
- กรณี หลายๆ table มาเป็น table เดียว (ที่มี partition)
// สร้าง table ปลายทาง รูปแบบ partition tables
create table t( dt, OWNER, OBJECT_NAME,
SUBOBJECT_NAME,
OBJECT_ID, DATA_OBJECT_ID, OBJECT_TYPE, CREATED,
LAST_DDL_TIME, TIMESTAMP, STATUS, TEMPORARY,
GENERATED, SECONDARY )
partition by range(dt) (
partition part2000 values less than ( to_date( '01-jan-2001', 'dd-mon-yyyy') ),
partition part2001 values less than ( to_date( '01-jan-2002', 'dd-mon-yyyy') ),
partition part2002 values less than ( to_date( '01-jan-2003', 'dd-mon-yyyy') )
)
as
select sysdate dt, all_objects.* from all_objects where 1=0;
// ย้าย table ย่อยเข้ามา (ตัวอย่าง ย้าย table t3 มาอยู่ใน Part2000 ของ table t)
alter table t
exchange partition part2000
with table t3
without validation
/
อ้างอิง: http://asktom.oracle.com/pls/ask/f?p=4950:8:::::F4950_P8_DISPLAYID:5532451667350
Tuesday, November 14, 2006
เขียนฝันด้วยชีวิต - ประชาคม สุนาชัย
รู้จักหนังสือเล่มนี้จากห้องสมุดในเว็บพันทิพ กลุ่มย่อยหนังสือแนะนำ ว่ากันว่าดีมาก มีโอกาสไปงานหนังสือ ก็เลยคว้ามาอ่านสักหน่อย ยอมรับเหมือนกันว่าเป็นหนังสือที่เผาผลาญเวลาเมียงมองผู้คนระหว่างเดินทางโดยรถเมล์ของผมไปจนหมด ธรรชาติของผมไม่ชอบอะไรที่มันอารมณ์เดียว ผมไม่ชอบหนังเรื่องเดอะเลตเต้อ (The Letter) มันเศร้าเกินไป ผมไม่ชอบ Shutter มันน่ากลัวเกินไป เขียนฝันด้วยชีวิตเองแรกๆ ก็เกือบทำเอาผม เกิดอารมณ์อย่างนั้นอยู่เหมือนกัน ว่าคนเราทำไมโชคร้ายผิดหวังซ้ำซากได้ขนาดนั้น แต่ด้วยความที่ตลอดการเดินทางฟันฝ่าชีวิตของตัวละคน (หรือผู้เขียนเอง) ได้มีตัวละครเข้ามาสอดแทรกหลากหลาย มากมาย ไม่รู้ว่าจากวันนี้จนผมตายไป ผมจะได้มีโอกาศพบความเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้หรือไม่ อะไรคือสิ่งที่ทำให้เค้าต้องฝ่าฟัน อะไรทำให้เค้ายังดำรงชิวิต อยู่ได้ มันไม่คล้ายจะเป็นโชคเท่าไหร่ จะว่าสวรรค์แกล้งก็ไม่เชิง ผมว่ามันมีสีสรรค์ และมันมีความเป็นชีวิต บางตอนมันสะท้อนมาถึงตัวเรา หลายๆ ตอนสะท้อนไปยังคนรอบข้าง สังคมรายรอบ มันเป็นหนังสือที่ดี
ผมตัดสินใจมอบหนังสือให้น้องชายคนนึงเนื่องในโอกาสรับปริญญา ผมอ่านมันแล้ว ผมเห็นว่ามันดี และมันน่าจะเป็นประโยชน์และแรงใจสำหรับการต่อสู้ชีวิต สำหรับใครก็ตามที่ได้อ่านมัน Congratulaton ! น้องชาย
ผมตัดสินใจมอบหนังสือให้น้องชายคนนึงเนื่องในโอกาสรับปริญญา ผมอ่านมันแล้ว ผมเห็นว่ามันดี และมันน่าจะเป็นประโยชน์และแรงใจสำหรับการต่อสู้ชีวิต สำหรับใครก็ตามที่ได้อ่านมัน Congratulaton ! น้องชาย
Sunday, November 05, 2006
ปีศาจ - เสนีย์ เสาวพงศ์
พึ่งเคยได้อ่านหนังสือที่เขียนโดยคุณ เสนีย์ เสาวพงศ์ เคยได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว พึ่งมีโอกาสได้อ่าน ที่ตัดสินใจหยิบมาก็เพราะไอ้ข้อความที่ว่า "หนึ่งในหนังสือดีรอบ 100 ปี" เท่านั้นแหละ อยากรู้ว่าจะเจ๋งอย่างว่าหรือเปล่า ใช้เวลานานในการอ่าน 30% แรกชองเล่ม และใช้เวลา 1 ในสามของช่วงแรก อ่าน 70% หลัง เขียนให้มันงงไปงั้นแหละ จะบอกว่า หลังๆ เริ่มติด เลยอ่านจบเร็ว อ่านจบต้องพิจารณาด้วยตัวเองว่า มันสมกับเป็นหนังสือดีในรอบ 100 ปีหรือเปล่า หรือนิยามน้ำเน่าธรรมดา? เอาประเด็นแรก น้ำเน่าหรือเปล่า? ถ้าคุณคิดว่านิยายที่นางเองเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านที่รวยมาก ส่วนพระเอกเป็นลูกชาวนา โดนทางบ้านนางเอกกีดกัน สุดท้ายนางเองต้อง .. ไม่บอกดีกว่าเผื่อคุณยังไม่ได้อ่าน จะเสียอรรถรสหมด เอาเป็นว่าถ้าคุณคิดว่าพล๊อดเรื่องแบบนี้น้ำเน่า ผมจะบอกว่าคุณจิดใจคับแคบเกินไป เพราะพล๊อตเรื่องมันเป็นแค่กรอบกว้างๆ ชองหนังสือ ผมสนใจในรายละเอียดของตัวละคร ความคิดอ่าน มุมมอง การเลือกที่จะทำ หรือไม่ทำอะไร มากกว่า ผมถือว่าคุณเสนีย์ ท่านสะท้อนสังคม มุมมอง และความคิดของคนต่างชนชั้นได้ดีทีเดียว อ่านจบยังสงสัยอยู่เลย ว่าท่านตั้งชื่อหนังสือว่า ปีศาจ ก่อนที่จะเขียนเสร็จ หรือเขียนเสร็จแล้วมาตั้งที่หลัง จะบอกว่า มันช่างเป็นชื่อที่เหมาะกับนิยายเรื่องนี้จริงๆ ปีศาจ ไม่ใช่สิ่งที่มีรูปธรรมชัดเจน แต่มันคือสิ่งที่อยู่ในจิตใจ ความคิด ความรู้สึก อะไรที่เรากลัว เราเรียกมันเป็นปีศาจก็ได้ และนั่นเอง ความเปลี่ยนแปลงก็คือปีศาจตัวนึงที่คอยหลอกหลอนผู้ที่ไม่อาจยอมรับ หรือปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ และปีศาจตนนี้ไม่มีวันตายด้วย เพราะชิวิตเรา การเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกลมหายใจอยู่แล้ว ....
คืนวันลอยกระทง
แปลกดี มันก็เป็นอย่างนี้ออกบ่อย คืนที่จะนั่งทำงานอยู่คนเดียว ชิวิตส่วนใหญ่ที่ผ่านมา มันก็มีแต่คืนแบบนี้ แต่ทำไมในคืนที่คนส่วนใหญ่คิดกันว่าไม่น่าจะนั่งอยู่ที่บ้าน มันช่างเป็นคืนที่ดูเหงาหงอย ซึมเซาแปลกๆ สังเกตได้ว่ามันเป็นแบบนี้มาหลายทีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันแม่ วันพ่อ ปีใหม่ วาเลนไทน์ หรือวันที่มีกิจกรรมนอกสถานที่อีกหลายวัน รวมถึงคืนวันลอยกระทงด้วย หงาวอีกแล้วตู มันคืออะไรหว่า มันคือความอิจฉาที่คนอื่นมีความสุขกัน แต่ตัวเองไม่ได้ไปไหนเหรอวะ? แล้ววันธรรมดาไม่เห็นรู้สึกแบบนี้ หรือเพราะมันไม่มีอะไรให้อิจฉา แปลกจริงๆ คนเรา หรือช่วงนี้คิดถึงใครเป็นพิเศษ หรือเปล่า ...
Subscribe to:
Posts (Atom)