ไม่รู้ใครเป็นกันหรือเปล่าเวลาเดินแล้วฟังเพลงไปด้วย มันทำให้เสียสมาธิ หรืออย่างน้อยก็ทำให้ปฏิกริยาตอบสนองต่อสิ่งที่เจอมันจะช้าลง (มากน้อยอาจจะแล้วแต่คน) เมื่อวานนึกอยากเดินไปร้านขาย CD/DVD แถวๆ แยกเตาปูน ชื่อร้าน ลูกหมี เป็นร้านแนวๆ DJ Siam ออกจะทึมๆ นิดหน่อย แต่ก็หาของที่อาจจะหาจากร้านอื่นไม่ได้ (จะไปซื้อปาล์มมี่ The Rhythm of the Times concert จะว่าไปแล้ว ก็ หาซื้อได้ทุกร้าน ^_^) เอาเหอะ จะว่าไปร้านมันสะดุดตา วันนี้หาข้ออ้างเข้าไปสอดส่ายสายตาซะหน่อย ระหว่างทางจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ ไปยังแยกเตาปูน ไม่ใช่ใกล้เลยครับ แต่เดินๆ เพลินๆ ก็ไม่ถึงกับลำบากอะไรมาก (สามารถนั่งรถเมล์ไป ได้ ป้ายเดียว - ตูดันเดิน -_-" ) วันนี้ฟังเพลงจากโทรศัพท์แทบจะตลอดการเดินทาง ตอนเดินไปร้าน CD ที่ว่า ก็เหมือนกัน เส้นทางเรียบขอบกำแพงบริษัทปูนยักใหญ่ ต่อด้วยสะพานข้ามแยก เส้นทางเจ้าปัญหาเป็นเส้นทางจากใต้สะพานข้ามแยกตรงไปยังคลองปะปาเป็นขอบฟุตบาตขนาดสองคนเดินสวนกันพอดี (ต้องเป็นตรงที่ไม่มีเสาไฟฟ้านะครับ) ซ้ายเป็นถนนเพื่อไปกลับรถใต้สะพาน ด้านขวามือเป็นตึกแถวโบราณ สังเกตจากประตูบานพับที่เป็นไม้เหมือนกันแทบทุกหลัง มันค่อนข้างจะค่ำประกอบกับความไม่แน่นอนของฟ้าฝน ประตูส่วนใหญ่จะปิดอยู่ ผมเดินก้าวเท้าด้วยจังหว่ะสม่ำเสมอ "Sometimes when I'm alone I wonder Is there a spell that I am under Keeping me from seeing the real thing" ผมฟังเพลงอยู่เพลงเดียวตลอดการเดินทางเที่ยวกลับ Love Hurts ของ Incubus เนื้อเพลงกล้องกังวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า "Love hurts But sometimes it's a good hurt And it feels like I'm alive .."
ทันใดนั้นเอง ประตูเจ้ากรรมก็เปิดออกมาตรงหน้าผมพอดี ให้ตายเหอะ มันกระแทกหน้าผมเข้าอย่างจัง ผมผงะ เด็กหญิงที่เปิดประตูออกมาก็ตกใจเช่นเดียวกัน ผมจ้องหน้าเธอเขม็ง ไม่รู้ว่าหน้าผมมันแสดงความบึ้งตึงหรือเปล่า แต่สมองผมมันแสดงความงุนงงมากกว่า เวลาผ่านไปสักหลายวินาทีได้ แต่ผมว่าผมและเธอรู้สึกว่ามันยาวนานกว่านั้น กว่ะจะตั้งหลักได้ ผมถามเธอว่า เป็นไรใช่มั๊ย? เธอไม่ตอบแม่เธอชะโงกหน้าผ่านประตูออกมา ขอโทษขอโพยผมใหญ่ ผมบอกไม่เป็นไรซ้ำแล้วซ้ำเล่าพอๆ กัน ตอนเดินผ่านมาผมเหลือบไปมองเด็กคนนั้น เธอยังอยู่ในอาการตกใจ ผมบอกเธอว่า พี่ไม่เป็นไร แล้วก็เดินจากมา คิดดูอีกทีผมอาจจะทำหน้าโกรธให้เธอตกใจ มากกว่าตกใจ ที่เปิดประตูมาโดนหน้าคนซะอีก เหอะๆ
สรุปได้ DVD มาสองแผ่นปาล์มมี่ 290 บาท ติด T-Bone มาอีกแผ่น 350 บาท (แผน indy มักจะแพงกว่าแผ่นจากบริษัทใหญ่ ทั้งๆที่การบันทึก ก็ออกจะห่วยกว่าเห็นๆ) รถเมล์มาพอดี กระโดดขึ้นรถ หยิบหูฟังที่หลุดจาหูมานาน เสียบเข้าใหม่ เพลงเดิม ยังบรรเลงซ้ำๆ ต่อไป "Without love I won't survive ..."
Wednesday, May 16, 2007
Saturday, May 05, 2007
ตกลงคือพรมลิขิตใช่ไหม ที่เขียนให้เป็นอย่างนั้น ...
เวลามันผ่านไปเนินนานแค่ไหนกัน นี่ผมนั่งรถเมล์คันนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ รู้ตัวอีกทีก็ด้วยเสียงร้องเสียดแทงอารมณ์ผ่านออกมาทางลำโพงบนรถ ปอ.97 สีครีมที่ผมนั่ง จำได้ว่าผมใช้เวลารอรถเมล์นานพอดู หลายๆคันผ่านไปโดยที่ผมยังไม่ได้ขึ้น วันนี้ผมอยากนั่ง แต่ผมเริ่มก้าวเท้าขึ้นมาบนรถเมล์คันนี้ ก็ไม่ได้มีที่นั่งอย่างที่ตั้งใจ แต่ด้วยความที่ผู้คนยืนกันหลวมๆ และธรรมชาติของรถเมล์ ยิ่งใกล้จะสุดสาย คนก็มีแต่จะทยอยลง อีกป้ายหรือสองป้ายผมก็คงจะได้นั่ง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จิตใจผมเหมอเลยไปไกล ทั้งยังไม่รู้ที่ๆ จิตใจดวงนี้ลอยไปด้วยซ้ำ ผมมีความกังวลบางอย่างกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน กังวลว่าสิ่งที่ผมให้คำปรึกษากับเพื่อนคนนึงไป มันจะไปทำร้ายเพื่อนอีกคนเข้า และมันก็ควรต้องเป็นอย่างนั้นเสียด้วยสิ "ตกลงคือพรมลิขิตใช่ไหม ที่เขียนให้เป็นอย่างนั้น ตกลงให้เรารักกันใช่ไหม ..." ด้วยเนื้อหาของเพลง หรือด้วยเสียงร้องของนักร้องนำวงบิ๊กแอสกันนะ ที่ทำให้เพลงนี้ดังติดคลื่นวิทยุขนาดนี้ ถ้าถามผม ผมคงต้องว่าด้วย กลไกการตลาด การทำโปรดักชั่น และความถี่ในการเปิด วันนี้เพลงนี้มันฉุนผมเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริง บนเส้นทางที่ผ่านไปมาหลายหน จนชาชินที่จะเหลียวมองความเป็นไปข้างๆ ทาง
เชื่อเรื่องพรมลิขิตไหม? เป็นคำถามที่เคยถูกถามมาหลายครั้ง ทั้งที่คำตอบเป็นไปได้เพียงเชื่อ หรือไม่เชื่อ แต่ผมก็แทบจะไม่เคยตอบซ้ำกันเลย "มีคนเป็นล้านคน ฉันว่าเหตุผลจริง ๆ ที่เราเจอกัน จากคนไม่เชื่ออะไร สุดท้ายก็ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ตกลงคือพรมลิขิตใช่ไหม " เนื้อหาของเพลงวนๆ อยู่อย่างนั้น อะไรกันเล่าที่เรียกว่าพรมลิขิต เราเจอคนที่เราไม่คิดว่าเราจะเจอ การรู้จักที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวล้วนเป็นพรมลิตหล่ะสิ หรือมีการเจอหรือต้องการรู้จักแบบวางแผนไว้ด้วย? ถ้ากรณีคลุมถุงชนหล่ะไม่เป็นพรมลิขิตหรอกหรือ หรือพ่อแม่ลิขิต พ่อแม่ไม่ใช่พระพรมของลูกหรอกหรือ? ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว วกวน บางครั้งการลิขิตกลับทำให้เราได้เพียงรู้จักคุ้นเคย แล้วก็ลิขิตต่อไปอีกให้มีอันต้องแยกทาง ด้วยปัญหารายล้อม ไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางแห่งความรักได้ เราทุกคนล้วนก้าวเดินตามเส้นที่มีการลิขิตไว้เช่นนั้นหรือ?
ปัญหาหนักอกขอผมมันเริ่มมาจากการให้คำปรึกษากับแฟนเพื่อน ถึงแม้ปัจจุบันจะเป็นเพื่อนกันแล้ว แต่การเรียกว่าแฟนเพื่อน มันก็ให้รายละเอียดที่มาของการรู้จักกันได้ดี หล่อนถามผมว่าจะทำอย่างไรดี หล่อนรักเพื่อนผมมาก แต่ติดปัญหาตรงที่บ้านหล่อนไม่ยอมรับเพื่อนผม ความแตกต่างในเรื่องศาสนาที่นับถือเป็นเรื่องใหญ่ หล่อนถามต่ออีกว่าถ้าจะบอกเพื่อนผมว่าเป็นเพื่อนกันจะดีมั๊ย แท้จริงปัญหานี้มันคาราคาซังมาเนิ่นนาน นานจนผมจำไม่ได้ แต่เจอหน้าทั้งคู่ผมก็รู้อยู่ในใจว่าปัญหานี้มันไม่เคยหายไปไหน ซ้ำยังตามมาหลอกหลอนอยู่เนืองๆ ผมถามหล่อนไปว่าเพื่อนผมก็ดูพร้อมจะเปลี่ยนศาสนานะ หล่อนบอกว่าที่บ้านหล่อนไม่ยินดีถ้าการเปลี่ยนศาสนา ไม่ได้เปลี่ยนมาด้วยความศัทธา ผมถามหล่อนว่าแล้วการที่เค้าที่ศัทธาในตัวหล่อนนั้นเล่า ไม่เรียกว่าศัทธาหรอกหรือ หล่อนบอกว่าถ้าเปลี่ยนศาสนามมาก็รอให้พ่อหล่อนตายก่อนค่อยแต่งกัน หล่อนบอกว่าพ่อหล่อนยืนยันอย่างนั้น ผมบอกหล่อนไปว่า งั้นก็พูดให้เพื่อนฟังว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร (ซึ่งผมมั่นใจว่าเพื่อนผมรู้รายละเอียด ขาดแต่ว่า มันไม่ยอมเข้าใจ) การคบกันต่อไปแบบนี้ดูจะไม่มีจุดหมาย ผมยังแนะนำหล่อนไปอีกว่าการเขียนเป็น email ไปบอกก็ดีเหมือนกัน เพราะเราจะได้ซ่อนเร้นอารมณ์ได้ ทั้งผู้อ่านก็ยังสามารถที่จะรับรู้รายละเอียดได้ครบถ้วน โดยที่ไม่ต้องคอยโต้แย้ง ผมอ้างว่าผมเข้าใจหล่อน ผมยังพาดพิงไปถึงความรัก หากมันสูงส่งจริงอย่างที่ใครๆ เทิดทูน ยกย่องแล้วหล่ะก็ คนที่เชื่อมั่นในความรัก ก็ควรจะดีใจ หากอะไรก็ตามที่มันนำมาซึ่งความสุขของคนที่เรารัก หล่อนบอกว่า วันพรุ่งนี้จะพูดกับเพื่อนผม ...
เมื่อเช้าตื่นมาเจอ miss call จากเพื่อนคนนึงหลายครั้ง ผมไม่ได้รับ ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้องแล้ว หากมันมาเคาะประตูเรียก และบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผม หรือต้องการให้ผมนั่งกินเหล้าเป็นเพื่อน ผมไม่มีเหตุผลที่จะบ่ายเบียง ผมพร้อมแล้วถ้าสิ่งใดๆ ที่ผมทำไปเมื่อคืน มันส่งผมมาถึงเย็นอีกวัน หรือ มันจะเป็นพรมลิขิต .. "ตกลงคือพรมลิขิตใช่ไหม ที่เขียนให้เป็นอย่างนั้น .." เสียงร้องของบิ๊กแอส ยังวนเวียนอยู่ในหัวผม ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เปิดทีวี หรือแม้แต่วิทยุที่ห้อง...
เชื่อเรื่องพรมลิขิตไหม? เป็นคำถามที่เคยถูกถามมาหลายครั้ง ทั้งที่คำตอบเป็นไปได้เพียงเชื่อ หรือไม่เชื่อ แต่ผมก็แทบจะไม่เคยตอบซ้ำกันเลย "มีคนเป็นล้านคน ฉันว่าเหตุผลจริง ๆ ที่เราเจอกัน จากคนไม่เชื่ออะไร สุดท้ายก็ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ตกลงคือพรมลิขิตใช่ไหม " เนื้อหาของเพลงวนๆ อยู่อย่างนั้น อะไรกันเล่าที่เรียกว่าพรมลิขิต เราเจอคนที่เราไม่คิดว่าเราจะเจอ การรู้จักที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวล้วนเป็นพรมลิตหล่ะสิ หรือมีการเจอหรือต้องการรู้จักแบบวางแผนไว้ด้วย? ถ้ากรณีคลุมถุงชนหล่ะไม่เป็นพรมลิขิตหรอกหรือ หรือพ่อแม่ลิขิต พ่อแม่ไม่ใช่พระพรมของลูกหรอกหรือ? ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว วกวน บางครั้งการลิขิตกลับทำให้เราได้เพียงรู้จักคุ้นเคย แล้วก็ลิขิตต่อไปอีกให้มีอันต้องแยกทาง ด้วยปัญหารายล้อม ไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางแห่งความรักได้ เราทุกคนล้วนก้าวเดินตามเส้นที่มีการลิขิตไว้เช่นนั้นหรือ?
ปัญหาหนักอกขอผมมันเริ่มมาจากการให้คำปรึกษากับแฟนเพื่อน ถึงแม้ปัจจุบันจะเป็นเพื่อนกันแล้ว แต่การเรียกว่าแฟนเพื่อน มันก็ให้รายละเอียดที่มาของการรู้จักกันได้ดี หล่อนถามผมว่าจะทำอย่างไรดี หล่อนรักเพื่อนผมมาก แต่ติดปัญหาตรงที่บ้านหล่อนไม่ยอมรับเพื่อนผม ความแตกต่างในเรื่องศาสนาที่นับถือเป็นเรื่องใหญ่ หล่อนถามต่ออีกว่าถ้าจะบอกเพื่อนผมว่าเป็นเพื่อนกันจะดีมั๊ย แท้จริงปัญหานี้มันคาราคาซังมาเนิ่นนาน นานจนผมจำไม่ได้ แต่เจอหน้าทั้งคู่ผมก็รู้อยู่ในใจว่าปัญหานี้มันไม่เคยหายไปไหน ซ้ำยังตามมาหลอกหลอนอยู่เนืองๆ ผมถามหล่อนไปว่าเพื่อนผมก็ดูพร้อมจะเปลี่ยนศาสนานะ หล่อนบอกว่าที่บ้านหล่อนไม่ยินดีถ้าการเปลี่ยนศาสนา ไม่ได้เปลี่ยนมาด้วยความศัทธา ผมถามหล่อนว่าแล้วการที่เค้าที่ศัทธาในตัวหล่อนนั้นเล่า ไม่เรียกว่าศัทธาหรอกหรือ หล่อนบอกว่าถ้าเปลี่ยนศาสนามมาก็รอให้พ่อหล่อนตายก่อนค่อยแต่งกัน หล่อนบอกว่าพ่อหล่อนยืนยันอย่างนั้น ผมบอกหล่อนไปว่า งั้นก็พูดให้เพื่อนฟังว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร (ซึ่งผมมั่นใจว่าเพื่อนผมรู้รายละเอียด ขาดแต่ว่า มันไม่ยอมเข้าใจ) การคบกันต่อไปแบบนี้ดูจะไม่มีจุดหมาย ผมยังแนะนำหล่อนไปอีกว่าการเขียนเป็น email ไปบอกก็ดีเหมือนกัน เพราะเราจะได้ซ่อนเร้นอารมณ์ได้ ทั้งผู้อ่านก็ยังสามารถที่จะรับรู้รายละเอียดได้ครบถ้วน โดยที่ไม่ต้องคอยโต้แย้ง ผมอ้างว่าผมเข้าใจหล่อน ผมยังพาดพิงไปถึงความรัก หากมันสูงส่งจริงอย่างที่ใครๆ เทิดทูน ยกย่องแล้วหล่ะก็ คนที่เชื่อมั่นในความรัก ก็ควรจะดีใจ หากอะไรก็ตามที่มันนำมาซึ่งความสุขของคนที่เรารัก หล่อนบอกว่า วันพรุ่งนี้จะพูดกับเพื่อนผม ...
เมื่อเช้าตื่นมาเจอ miss call จากเพื่อนคนนึงหลายครั้ง ผมไม่ได้รับ ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้องแล้ว หากมันมาเคาะประตูเรียก และบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผม หรือต้องการให้ผมนั่งกินเหล้าเป็นเพื่อน ผมไม่มีเหตุผลที่จะบ่ายเบียง ผมพร้อมแล้วถ้าสิ่งใดๆ ที่ผมทำไปเมื่อคืน มันส่งผมมาถึงเย็นอีกวัน หรือ มันจะเป็นพรมลิขิต .. "ตกลงคือพรมลิขิตใช่ไหม ที่เขียนให้เป็นอย่างนั้น .." เสียงร้องของบิ๊กแอส ยังวนเวียนอยู่ในหัวผม ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เปิดทีวี หรือแม้แต่วิทยุที่ห้อง...
Subscribe to:
Posts (Atom)