Saturday, March 31, 2007
ผมเกือบจะลืมไปแล้ว ถ้าเพียงคุณไม่เอ่ยถาม
ผมเกือบจะลืมไปแล้ว ถ้าเพียงคุณไม่เอ่ยถาม ว่าผมเขียน blog บ้างหรือเปล่า มันไม่ใช้กิจกรรมที่ผมถือว่าต้องทำเป็นประจำด้วยระยะห่างของเวลาที่สม่ำเสมอ คนเราไม่ชอบอะไรจำเจซ้ำซาก ผมเองก็เหมือนกัน แต่การเขียน blog มันคงเปรียบเช่นนั้นไม่ได้ ไม่งั้นเราก็คงเลิกกินข้าวกันไปแล้ว blog เองก็คงเหมือนๆ กับวันนึงคุณอยากกินก๊วยเตี๊ยวเนื้อ วันที่จิตใจคุณเรียกร้องถึงมัน คุณก็กลับมาเขียน ด้วยเรื่องราวอะไรก็ตาม บางครั้งการเขียนอะไรบางอย่าง มันก็ไม่ใช่การบันทึกความทรงจำเพียงอย่างเดียว อย่างที่ผมบอก บางครั้งสมองมันก็เลือกที่จะละอะไรบางอย่างไป ไม่ใช่เพราะคุณอยากลืม แต่สมองมันไม่มีพื้นที่ชั่วคราว (ภาษาทางการงานของผมเรียกมันว่า buffer) มากพอ พื้นที่ชั่วคราวใช้สำหรับจดจำและประมวลผลเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงปัจจุบันมากที่สุด ส่วนความทรงจำที่สมองเราเก็บไว้อีกส่วน มันจะโดนกระตุ้นขึ้นมา เมื่อมีเหตุการณ์ที่สัมพันธ์กับปัจจุบัน บางครั้งเพลงบางเพลง สถานที่บางแห่ง หรือเหตุการณ์บางอย่างมันเชื่อมโยงไปยังส่วนเก็บความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องสุขหรือเศร้าในตอนนั้น แต่ ณ วันที่สมองคุณโดนกระตุ้นให้มันกลับมา มุมมองคุณอาจจะไม่ได้คิดอย่างนั้นแล้วก็ได้ การ blog อาจจะช่วยในแง่ของการย้อนไปมองมุมมองของคุณต่อเรื่องใดๆ นะช่วงเวลานึง บางครั้งเราก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเราเอง ทำไมวันนั้นเราคิดอย่างนั้น แล้ววันนี้หล่ะ เราคิดอย่างนี้หรือเปล่า นักประวัติศาสตร์สืบเสาะหาความเป็นไปของอดีตกันทำไม ในเมื่อมันย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้? เหตุผลเดียวที่ผมนึกได้คงจะเป็นการเรียนรู้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพื่อวันนึงหากแม้นเราได้มีโอกาสไปเจอเหตุการณ์คล้ายๆกัน มันก็จะเป็นต้นทุนทางความคิด เพื่อให้เราไม่ทำผิดพลาดเช่นนั้นอีก หลายๆ หนผมมองว่าอดีตบางเรื่องมันดึงเราให้ถอยห่างจากอนาคต ความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับการเดินทางโดยรถไฟ มันดึกให้ผมขยาดแล้วไม่อยากเดินทางโดยทางนั้นอีก วันนี้ผมรู้แล้วว่าปัญหา มันไม่ใช่รถไฟ ปัญหาที่ผมประสบมันเริ่มมาจากการเดินทางโดยการวางแผนที่ผิดพลาด นั่นหรอกคือเหตุผลที่ทำให้การเดินทางมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ผมต้องการ นั่นหรอกคือการเรียนรู้จากอดีตเพื่อจะให้อนาคตมันไม่เป็นอย่างนั้นอีก แต่ถ้าคุณยังทำให้มันผิดพลาดเหมือนเดิม มันไม่ใช่ปัญหาของใครแล้ว คุณต่างหาก เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมัน ได้ดีพอ หรือยัง?
Friday, March 09, 2007
ORACE: PL/SQL Dev ใช้งานกับ Oracle Instant Client
ไม่ต้องลง Oracle Client ก็ได้ ใช้แต่ Instant Client ก็ทำงานได้ครับ
set env ดังนี้
- ORACLE_HOME ไปที่ oci.dll อยู่
- TNS_ADMIN ไปที่ tnsnames.ora อยู่
- PATH เพิ่ม path ที่ oci.dll อยู่เข้าไป
เท่านี้ครับ
set env ดังนี้
- ORACLE_HOME ไปที่ oci.dll อยู่
- TNS_ADMIN ไปที่ tnsnames.ora อยู่
- PATH เพิ่ม path ที่ oci.dll อยู่เข้าไป
เท่านี้ครับ
Monday, March 05, 2007
ความหมายของ Soulmate
กับคำถามที่ว่า "เคยเจอ soulmate บ้างหรือยัง?" กลายเป็นคำถามต่อว่า "แล้ว soulmate มันเป็นยังไงหรือ?"
-------------------------------------------------------------------------------
เค้าพูดถึง soul mate เอาไว้ว่า....
"soul mate" จะเป็นเพื่อน เป็นคนรัก หรือเป็นคนรู้จักก็ได้ มีคุณสมบัติ คือเป็น
1. ต้องเคยใช้ชีวิตชาติปางก่อนมาด้วยกัน
2. ครั้งแรกที่พบกันในชาตินี้ ต้องรู้สึกทันทีว่าคุ้นมากๆๆๆๆ
มีอะไรบางอย่างสื่อถึงกัน รู้สึกสบายใจและไว้วางใจในทันที
3. เมื่อมีปัญหาแตกร้าว ก็เข้าใจกัน แก้ไขได้ด้วยกันโดยง่าย
"soul mate" มิใช่ "เนื้อคู่" แต่เพียงอย่างเดียว มีถึง 3 แบบด้วยกัน
แบบที่ 1 เรียกว่า Companion Soul Mates
คือคนที่เป็นเพื่อนก็ได้ เป็นครูก็ได้ เป็นเจ้านายก็ได้ เป็นใครสักคน
เป็นคนแปลกหน้าผ่านมาเวลารถเสียแล้วช่วยซ่อมให้ก็ได้
ไม่คิดตังค์ ไม่ล่อลวงไปข่มขืน
หรือเป็นคนที่ได้พบปะพูดคุยด้วยไม่กี่ครั้ง หรือเพียงครั้งเดียว
แต่เป็นแรงบันดาลใจส่งให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
เป็นคนที่เราจะได้พบในช่วงสั้นๆ ในชีวิต
เพราะชาติที่แล้วเราเคยช่วยเหลือกันมาก่อนในระยะเวลาจำกัด
…แรงบันดาลใจ ฉันจะเป็นเหมือนเธอ จะทำให้ได้อย่างเธอ
อย่างงี้หละ!
แบบที่ 2 เรียกว่า Twin Soul Mates
คือคนที่เราเป็นเพื่อนกันมาหลายชาติแล้ว
พอชาตินี้มาเจอกัน! อีกก็ได้เป็นเพื่อนกันอีก
คล้ายๆ พวกที่1 แต่จะรู้สึกถึงมิตรภาพที่ผูกพันแนบแน่นกว่า
แบบว่าสื่อถึงกันได้ทางโทรจิต คล้ายว่าเป็นฝาแฝดกันน่ะ
พอได้รู้จักกันแล้วก็จะรับรู้ทุกข์สุขกันไปตลอดชีวิต
ร่วมทุกข์ร่วมสุขประมาณว่า ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งหนไหนในโลก
ก็รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าอีกคนกำลังรู้สึกอย่างไร จะเป็นคนที่ปลอบคุณเวลาที่
คุณทำผิดพลาด คอยเช็ดน้ำตาให้คุณเมื่อทุกใจเพื่อนตายก็ว่าได้เลย
แบบที่ 3 เรียกว่า A Twin Flame Soul Mates
แบบนี้มีคนเดียว หายาก และพบยาก จะพบกันก็เพราะความผูกพันธ์ที่
ผูกคุณและเค้าไว้ส่วนมากจะเป็นเพศตรงข้าม ทั้งชีวิตนี้จะมีได้แค่คน
เดียว เป็นคนที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายชาติภพแล้ว เป็นจิตวิญญาณ
ของกันและกัน พอพบกันครั้งแรก จะเหมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นเข้าหา
กัน ดั่งเหมือนมีมนต์ จะรู้สึกถูกชะตา รู้สึกดีเมื่อได้อยู่ใกล้ๆ จะรู้อยู่
ลึกๆ ทันทีว่านี่คือคู่ของเรา ต้องเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใคร
มาก่อน จะรู้สึกแบบนี้กับคนๆนี้คนเดียวเท่านั้น เป็นคนที่ได้ยินชื่อ พบ
กัน หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกันเค้าแล้วคุณรู้สึกอย่างนี้ จะเป็นความรู้สึก
ที่แปลก คุณจะรู้สึกได้( สำหรับคนที่เจอแล้วนะ)ว่ามันเป็นความรู้สึก
ที่ไม่เหมือนใคร แตกต่างจากคนที่เรารู้จัก หรือคนธรรมดาทั่วๆไปที่
ได้พบ
-------------------------------------------------------------------------------
เค้าพูดถึง soul mate เอาไว้ว่า....
"soul mate" จะเป็นเพื่อน เป็นคนรัก หรือเป็นคนรู้จักก็ได้ มีคุณสมบัติ คือเป็น
1. ต้องเคยใช้ชีวิตชาติปางก่อนมาด้วยกัน
2. ครั้งแรกที่พบกันในชาตินี้ ต้องรู้สึกทันทีว่าคุ้นมากๆๆๆๆ
มีอะไรบางอย่างสื่อถึงกัน รู้สึกสบายใจและไว้วางใจในทันที
3. เมื่อมีปัญหาแตกร้าว ก็เข้าใจกัน แก้ไขได้ด้วยกันโดยง่าย
"soul mate" มิใช่ "เนื้อคู่" แต่เพียงอย่างเดียว มีถึง 3 แบบด้วยกัน
แบบที่ 1 เรียกว่า Companion Soul Mates
คือคนที่เป็นเพื่อนก็ได้ เป็นครูก็ได้ เป็นเจ้านายก็ได้ เป็นใครสักคน
เป็นคนแปลกหน้าผ่านมาเวลารถเสียแล้วช่วยซ่อมให้ก็ได้
ไม่คิดตังค์ ไม่ล่อลวงไปข่มขืน
หรือเป็นคนที่ได้พบปะพูดคุยด้วยไม่กี่ครั้ง หรือเพียงครั้งเดียว
แต่เป็นแรงบันดาลใจส่งให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
เป็นคนที่เราจะได้พบในช่วงสั้นๆ ในชีวิต
เพราะชาติที่แล้วเราเคยช่วยเหลือกันมาก่อนในระยะเวลาจำกัด
…แรงบันดาลใจ ฉันจะเป็นเหมือนเธอ จะทำให้ได้อย่างเธอ
อย่างงี้หละ!
แบบที่ 2 เรียกว่า Twin Soul Mates
คือคนที่เราเป็นเพื่อนกันมาหลายชาติแล้ว
พอชาตินี้มาเจอกัน! อีกก็ได้เป็นเพื่อนกันอีก
คล้ายๆ พวกที่1 แต่จะรู้สึกถึงมิตรภาพที่ผูกพันแนบแน่นกว่า
แบบว่าสื่อถึงกันได้ทางโทรจิต คล้ายว่าเป็นฝาแฝดกันน่ะ
พอได้รู้จักกันแล้วก็จะรับรู้ทุกข์สุขกันไปตลอดชีวิต
ร่วมทุกข์ร่วมสุขประมาณว่า ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งหนไหนในโลก
ก็รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าอีกคนกำลังรู้สึกอย่างไร จะเป็นคนที่ปลอบคุณเวลาที่
คุณทำผิดพลาด คอยเช็ดน้ำตาให้คุณเมื่อทุกใจเพื่อนตายก็ว่าได้เลย
แบบที่ 3 เรียกว่า A Twin Flame Soul Mates
แบบนี้มีคนเดียว หายาก และพบยาก จะพบกันก็เพราะความผูกพันธ์ที่
ผูกคุณและเค้าไว้ส่วนมากจะเป็นเพศตรงข้าม ทั้งชีวิตนี้จะมีได้แค่คน
เดียว เป็นคนที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันมาหลายชาติภพแล้ว เป็นจิตวิญญาณ
ของกันและกัน พอพบกันครั้งแรก จะเหมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นเข้าหา
กัน ดั่งเหมือนมีมนต์ จะรู้สึกถูกชะตา รู้สึกดีเมื่อได้อยู่ใกล้ๆ จะรู้อยู่
ลึกๆ ทันทีว่านี่คือคู่ของเรา ต้องเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใคร
มาก่อน จะรู้สึกแบบนี้กับคนๆนี้คนเดียวเท่านั้น เป็นคนที่ได้ยินชื่อ พบ
กัน หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกันเค้าแล้วคุณรู้สึกอย่างนี้ จะเป็นความรู้สึก
ที่แปลก คุณจะรู้สึกได้( สำหรับคนที่เจอแล้วนะ)ว่ามันเป็นความรู้สึก
ที่ไม่เหมือนใคร แตกต่างจากคนที่เรารู้จัก หรือคนธรรมดาทั่วๆไปที่
ได้พบ
Saturday, March 03, 2007
ความง่ายในวิถีธรรมดา
เมื่อวานมีธุระกับเพื่อนที่ office เดิม เป็นโอกาสให้ผมได้กลับมาเยือนสถานที่ทำงาน ที่ผมถือว่าเป็นสถานที่ทำงานที่เปลี่ยนรูปแบบการทำการ ความคิดในการทำงานของผมไปเยอะทีเดียว คงด้วยระยะเวลาลาที่ผมทำงานที่นี่นานกว่าทุกๆ ที่ที่เคยทำ ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง จนผมต้องปรับตัวเอง กลายเป็นคนที่เลือกที่จะไม่ทำอะไรบ้าง เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องไปยุ่งกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายบางเรื่อง ผิดกับการทำงานแรกๆ ที่ผมจะทำทุกอย่างที่คิดว่าทำได้ หรือทุกๆ การร้องขอ แต่ผลที่ได้หลายๆ ครั้งมันทำให้ผมโดนตำหนิติติงโดยที่ผมไม่สามารถอ้างไดเลย ว่ามันไม่ใช่งานของผม เพราะเมื่อผมทำ ผมก็ต้องรับผิดชอบ เมื่อคุณอ้างว่าไม่ใช่งานของคุณบ่อยเข้า การคบหาเพื่อหวังผลประโยชน์จากความสามารถของคุณมันก็จะเบาบางลง คงเหลือเฉพาะความสัมพันธ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในหน้าที่มากนัก จะเรียกว่าการกรองเพื่อนแท้ออกจาหการงานก็ว่าได้ จะบอกว่าผมได้กลายเป็นคนเมืองที่แฝงไว้ด้วยความเห็นแก่ตัวก็ว่าได้
เสร็จธุระก็เดินทางกลับวันนี้อยากกินข้าวหมูกรอบเลยแวะกินร้านประจำ (ประจำคือกินบ่อยกว่าร้านอื่น แต่ไม่ได้กินถี่ถึงขนาดอาทิตย์ละสองสามครั้งนะครับ แต่ถ้าเป็นข้าวหมูกรอบส่วนใหญ่จะเป็นร้านนี้) ลูกสาวของร้านนี้เป็นวัยรุ่นอายุไม่น่าจะเกิน 18 แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักให้ผมเลือกกินร้านนี้นะครับ เพียงแต่เป็นคนที่สะดุดตาผมทุกครั้งที่มากิน สังเกตุว่าหลังๆ เธอหายไป แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะไปถามไถ่ว่าเธอหายไปไหน ทั้งนี้เราเองก็ไม่ใช่คนรู้จัก หรือญาติพี่น้องกันเสียด้วยสิ วันนี้เธอกลับมาในรูปแบบที่ผมแทบจำไม่ได้ ด้วยการแต่งหน้าที่จัดจ้าน นี่ถ้าเป็นตามสถาบบันเทิง หรือแหล่งชุมนุมของวันรุ่นอย่างสยาม คงไม่แปลกใจ แต่นี่มันตลาดนนท์ นึกแปลกใจเหมือนกันว่าที่เธอหายไป เธอหายไปไหน แล้วไปทำอะไร เธอกลับมาที่ร้านโดยไม่มีการว่ากล่าวอะไรจะผู้เป็นแม่ หมายความว่าทุกคนรู้ที่มาที่ไปของสภาพการแต่งกายทาหน้าแบบนี้ กินเสร็จผมก็เดินไปจ่ายตัง เธอเดิมมาที่ผมแล้วบอกว่า 26 บาท ผมบอกไปว่าผมมีใส่ห่ออีก 2 เธอบอกงั้นก็ 76 .. เธอถามผมว่าผมมีเหรียญบาทหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจในตอนแรกนักว่าได้ยินคำถามนี้ จึงถามกลับไป "เท่าไหร่นะครับ?" เธอบอก "76 บาทคะ พี่มีเหรียญบาทหรือเปล่า?" ผมบอกผมมีเศษ 4 บาท น้องจะเอาเท่าไหร่ เธอบอก "บาทเดียวคะ" เธอทำหน้าฉงนเล็กน้อย ก่อนหยิบเหรียญบาทจากมือผมไป สักพัก เธอกลับมาพร้อมตังทอนยื่นให้ผม "ทอน 25 บาทคะ" ผมรับมาแล้วก็เดินจากไป ผมคิดว่าธรรมชาติทั่วไปของการทอนตัง ถ้าเศษไม่เกิน 4 บาทถึงน่าจะมีการร้องขอเศษเหรียญ เช่น พี่มีเศษบาทนึง หรือสองบาทหรือเปล่า แต่นี่เป็นเศษ 1 บาท จากราคา 76 บาท ผมอาจจะคิดมากไป หรือเพราะผมเป็น programmer การปัดเศษมันควรจะเป็นเศษที่ไม่เกิน 4 เดินไปได้สักพัก ผมก็คิดได้ว่าทอน 25 มันก็ดีกว่าทอน 24 อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องมีเหรียญหลายเหรียญติดกระเป๋า มันก็มีแต่ข้อดีนี่น่า! ต้องยอมรับครับว่า logic ในสมองแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน วิถีแห่งความง่าย คือวิถีแห่งชาวบ้าน มันออกมาจากความคุ้นเคย ประสบการณ์ ไม่ใช่จากหลักการ หรือตรรกใดๆ ผมคงต้องเรียนรู้วิถีอย่างนี้บ้าง เชื่อในคนอื่นบ้าง อย่าเชื่อแต่ตัวเองเพียงฝ่ายเดียว ...
เสร็จธุระก็เดินทางกลับวันนี้อยากกินข้าวหมูกรอบเลยแวะกินร้านประจำ (ประจำคือกินบ่อยกว่าร้านอื่น แต่ไม่ได้กินถี่ถึงขนาดอาทิตย์ละสองสามครั้งนะครับ แต่ถ้าเป็นข้าวหมูกรอบส่วนใหญ่จะเป็นร้านนี้) ลูกสาวของร้านนี้เป็นวัยรุ่นอายุไม่น่าจะเกิน 18 แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักให้ผมเลือกกินร้านนี้นะครับ เพียงแต่เป็นคนที่สะดุดตาผมทุกครั้งที่มากิน สังเกตุว่าหลังๆ เธอหายไป แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะไปถามไถ่ว่าเธอหายไปไหน ทั้งนี้เราเองก็ไม่ใช่คนรู้จัก หรือญาติพี่น้องกันเสียด้วยสิ วันนี้เธอกลับมาในรูปแบบที่ผมแทบจำไม่ได้ ด้วยการแต่งหน้าที่จัดจ้าน นี่ถ้าเป็นตามสถาบบันเทิง หรือแหล่งชุมนุมของวันรุ่นอย่างสยาม คงไม่แปลกใจ แต่นี่มันตลาดนนท์ นึกแปลกใจเหมือนกันว่าที่เธอหายไป เธอหายไปไหน แล้วไปทำอะไร เธอกลับมาที่ร้านโดยไม่มีการว่ากล่าวอะไรจะผู้เป็นแม่ หมายความว่าทุกคนรู้ที่มาที่ไปของสภาพการแต่งกายทาหน้าแบบนี้ กินเสร็จผมก็เดินไปจ่ายตัง เธอเดิมมาที่ผมแล้วบอกว่า 26 บาท ผมบอกไปว่าผมมีใส่ห่ออีก 2 เธอบอกงั้นก็ 76 .. เธอถามผมว่าผมมีเหรียญบาทหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจในตอนแรกนักว่าได้ยินคำถามนี้ จึงถามกลับไป "เท่าไหร่นะครับ?" เธอบอก "76 บาทคะ พี่มีเหรียญบาทหรือเปล่า?" ผมบอกผมมีเศษ 4 บาท น้องจะเอาเท่าไหร่ เธอบอก "บาทเดียวคะ" เธอทำหน้าฉงนเล็กน้อย ก่อนหยิบเหรียญบาทจากมือผมไป สักพัก เธอกลับมาพร้อมตังทอนยื่นให้ผม "ทอน 25 บาทคะ" ผมรับมาแล้วก็เดินจากไป ผมคิดว่าธรรมชาติทั่วไปของการทอนตัง ถ้าเศษไม่เกิน 4 บาทถึงน่าจะมีการร้องขอเศษเหรียญ เช่น พี่มีเศษบาทนึง หรือสองบาทหรือเปล่า แต่นี่เป็นเศษ 1 บาท จากราคา 76 บาท ผมอาจจะคิดมากไป หรือเพราะผมเป็น programmer การปัดเศษมันควรจะเป็นเศษที่ไม่เกิน 4 เดินไปได้สักพัก ผมก็คิดได้ว่าทอน 25 มันก็ดีกว่าทอน 24 อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องมีเหรียญหลายเหรียญติดกระเป๋า มันก็มีแต่ข้อดีนี่น่า! ต้องยอมรับครับว่า logic ในสมองแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน วิถีแห่งความง่าย คือวิถีแห่งชาวบ้าน มันออกมาจากความคุ้นเคย ประสบการณ์ ไม่ใช่จากหลักการ หรือตรรกใดๆ ผมคงต้องเรียนรู้วิถีอย่างนี้บ้าง เชื่อในคนอื่นบ้าง อย่าเชื่อแต่ตัวเองเพียงฝ่ายเดียว ...
Subscribe to:
Posts (Atom)